ซากซุยโยะ-มะรุ (
อังกฤษ: Zuiyo-maru carcass;
ญี่ปุ่น: ニューネッシー; Nyū Nesshii; แปลว่า
เนสซีใหม่) เป็น
ซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ที่ถูกลากขึ้นมาจากท้องทะเลด้วยเรือประมงสัญชาติญี่ปุ่นชื่อ "ซุยโยะ-มะรุ" (瑞洋丸; Zuiyō Maru) นอกชายฝั่งของ
นิวซีแลนด์เมื่อปี ค.ศ. 1977 ซากดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาและเป็นปริศนาในเชิงวิทยาศาสตร์วันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1977 ที่นอกชายฝั่งเมือง
ไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ประมาณ 30 ไมล์ เรือซุยโยะ-มะรุ ของญี่ปุ่นที่กำลังทำการประมง
ปลาแมกเคอเรลอยู่ ขณะกำลังดึงอวนในความลึก 300 เมตรขึ้นมา อวนนั้นได้ติดเอาซากของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างประหลาดขึ้ันมาด้วย ซากนั้นมีสีขาวซีด ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว กัปตันทะนะกะ อะกิระ ได้วินิจฉัยด้วยตนเองว่าน่าจะเป็นซาก
วาฬที่กำลังเน่าเปื่อย แต่ถึงอย่างไรซากดังกล่าวก็ได้ถูกยกขึ้นมาแขวนและถ่ายรูปไว้ โดย มิชิฮิโกะ ยะโนะ นักสมุทรศาสตร์และผู้จัดการเรือ ก่อนจะทิ้งลงทะเลไป เพราะลูกเรือทนกลิ่นของมันไม่ไหว แต่ก็ยังคงมี
เนื้อเยื่อติดอยู่จึงเก็บไว้สำหรับใช้ตรวจสอบต่อไป ลักษณะของซากดังกล่าว ดูคล้ายกับ
เพลสิโอซอร์ สัตว์เลื้อยคลานทางทะเลขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคครีเตเชียสตอนปลาย เมื่อกว่า 65 ล้านปีก่อน คือ มีคอยาว ส่วนหัวเล็ก มีครีบสี่ข้างเหมือนใบพายขนาดใหญ่ โดยซากนี้ทีส่วนคอยาว 1.5 เมตร, มีสี่ครีบ, ครีบสีแดง และส่วนหางยาวประมาณ 2 เมตร ไม่มีครีบหลัง ไม่มีอวัยวะภายใน แต่ไขมันและเนื้อไม่สมบูรณ์
[1][2][2][3]เมื่อเรือกลับถึงฝั่งในอีกสองเดือนต่อมา กัปตันอะกิระได้สเก็ตภาพขึ้นมาพร้อมกับภาพถ่าย ทำให้เรื่องนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปโดยสำนักข่าวท้องถิ่น ได้สร้างกระแสเป็นที่ฮือฮาในวงกว้างโดยเฉพาะในแวดวงวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์โยะชิโนะริ อิไมซุมิ แห่งสถาบันวิจัยสัตว์ทะเลกรุงโตเกียว กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ปลา, วาฬ หรือกระทั่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใด ๆ พร้อมกับได้เรียกชื่อมันเป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลได้ว่า "เนสซีตัวใหม่" ขึ้นมา พร้อมกับได้สันนิษฐานว่า มันน่าจะเป็นเพลสิโอซอร์ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยการเอาตัวรอดได้ในกระแสน้ำเย็น หาอาหารและเอาชีวิตรอดในมหาสมุทร
[4] สอดคล้องกับศาสตราจารย์โตะคิโอะ ชิกะมะ แห่ง
มหาวิทยาลัยแห่งชาติโยะโกะฮะมะ ที่เห็นว่ามันคล้ายเพลสิโอซอร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และศาสตราจารย์ฟุจิโระ ยะซุดะ แห่ง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ทางทะเลโตเกียว ที่เห็นว่า ภาพถ่ายแสดงให้เห็นถึงซากของสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
[2]อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตก เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยบางคนนำไปผูกโยงกับการค้นพบ
ปลาซีลาแคนท์ ปลาทะเลกระดูกแข็งที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนจะค้นพบอีกครั้งที่ชายฝั่ง
แอฟริกาใต้ในปี ค.ศ. 1938 แต่บางคนก็เห็นว่าการค้นพบปลาซีลาแคนท์ไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะนำไปเทียบกับเพลสิโอซอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่กว่ามากและหายใจด้วยปอด ซึ่งต้องโผล่ส่วนหัวพ้นน้ำขึ้นมาเพื่อที่จะหายใจ
[2]แต่การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ด้วยการใช้เศษเนื้อเยื่อที่หลงเหลืออยู่นั้นด้วยการวิเคราะห์ทางชีวเคมี พบว่า
กรดอะมิโนของซากมีลักษณะคล้ายกับกรดอะมิโนใน
ปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลาม หรือปลากระเบน รวมถึงลักษณะของเนื้อเยื่อของครีบก็คล้ายกับครีบของปลาฉลามด้วย จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นซากของ
ปลาฉลามบาสกิน ปลาฉลามขนาดใหญ่ที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ซึ่งเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจาก
ปลาฉลามวาฬมากกว่า อีกทั้งลักษณะทางกายภาคเมื่อเปรียบเทียบความยาว รวมถึงครีบและหางก็เหมือนกันด้วย โดยเชื่อว่าปลาฉลามตัวนี้ได้ตายมานานนับเดือนแล้ว และซากของมันบางส่วนได้หลุดหายไปจากการเน่าเปื่อยหรือถูกสัตว์อื่นกัดกินไป จึงทำให้มีลักษณะผิดแผกออกไปจากปกติ
[2][5][6]อย่างไรก็ตาม ซากซุยโยะ-มะรุ ก็ยังคงถูกอ้างอิงเสมอ ๆ ในแวดวงของ
วิทยาสัตว์ลึกลับตามภาพยนตร์สารคดีเรื่องต่าง ๆ เช่น Lost Tapes ตอน Monster of Monterey ในปี ค.ศ. 2009 ทาง
ช่องดิสคัฟเวอรี[7], The Truth Behind ตอน The Loch Ness Monster ในปี ค.ศ. 2011 ทาง
ช่องเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก[8] หรือกระทั่งถูกอ้างอิงถึงในเครดิตตอนต้นของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง
Godzilla ในปี ค.ศ. 2014 เป็นต้น
[9]