ประวัติ ของ ดังคัน_เอดเวิดส์

ช่วงต้นของชีวิต

ลายเซ็นของดันแคน เอดเวิดส์

เอดเวิดส์เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2479 ในบ้านของเขาที่เขตวูดไซด์ของดัดลีย์[1] ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของวุร์สเตอร์เชียร์[2] เขาเป็นลูกชายคนโตของแกลดสโตนและซาราห์ แอนน์ เอ็ดเวิร์ด และยังเป็นลูกคนเดียวของพวกเขาที่มีชีวิตรอดจากวัยเด็ก น้องสาวของเขา แคโรล แอนน์ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2490 ด้วยอายุ 14 สัปดาห์[3] ต่อมาเขาและครอบครัวได้ย้ายบ้านมายัง 31 เอล์ม โรด ซึ่งอยู่ในดัดลีย์เหมือนกัน เอดเวิดส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนประถมพรีออรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ถึง พ.ศ. 2491 และโรงเรียนมัธยมวุลเวอร์แฮมป์ตันสตรีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ถึง พ.ศ. 2495[4] เขายังเล่นฟุตบอลให้กับทีมฟุตบอลโรงเรียน วุร์สเตอร์เชียร์แอนด์เบอร์มิงแฮม และทีมฟุตบอลประจำเขต[5] เขายังเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการเต้นมอร์ริส[6] เขาได้ถูกเลือกให้ไปแสดงในงานเต้นมอร์ริสแห่งชาติ แต่ก็ได้รับข้อเสนอให้ลองไปคัดตัวกับทีมอายุไม่เกิน 14 ปีของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งส่งมาในวันเดียวกันและเขาเลือกที่จะเข้าคัดตัวทีหลัง[7]

ความสามารถในการเล่นฟุตบอลของเอดเวิดส์สร้างความประทับใจแก่ผู้คัดตัว ทำให้เขาได้ไปเล่นในทีมฟุตบอลโรงเรียนอังกฤษ และได้ลงเป็นนัดแรกพบกับเวลส์ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2493 หลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีม และเป็นได้สองฤดูกาล[8][9] เพราะเขาถูกจับตามองจากสโมสรใหญ่ ๆ โดยแจ็ค โอไบรเอน แมวมองของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้รายงานกลับมายังแมตต์ บัสบี ผู้จัดการทีมในขณะนั้นว่า "วันนี้ได้เห็นเด็กนักเรียนวัย 12 ปีที่เขาจับตามองเป็นพิเศษ เขาชื่อดันแคน เอดเวิดส์จากดัดลีย์"[8]

โจ เมอร์เซอร์ ผู้ซึ่งในเวลานั้นเป็นโค้ชให้กับทีมฟุตบอลโรงเรียนอังกฤษ ได้กระตุ้นให้บัสบีทำข้อสัญญากับเอดเวิดส์ ผู้ซึ่งถูกจับตามองจากสโมสรฟุตบอลวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์และแอสตันวิลลา[10] เอดเวิดส์เซ็นสัญญากับยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2495[11] แต่ระยะเวลาที่เขาเซ็นสัญญาจริง ๆ นั้นไม่แน่นอน บางส่วนก็ว่าเขาเซ็นสัญญาในวันเกิดปีที่ 17 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2496[12][13] บางส่วนก็ว่าเขาเซ็นสัญญาก่อนหน้านั้นปีนึงแล้ว[4][14] แต่วันที่ที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้เป็นวันเซ็นสัญญาของเอดเวิดส์ที่ยืนยันจากทางสโมสรอย่างเป็นทางการ ซึ่งตัวบัสบีเอง หรือโค้ช เบิร์ต วาลลีย์ เดินทางไปยังบ้านของเอดเวิดส์เพื่อให้เขาเซ็นสัญญาโดยเร็วที่สุด แต่รายงานอื่น ๆ เชื่อว่านี่เกิดขึ้นเมื่อเขาเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ[15] สแตน คุลลิส ผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่พลาดการเซ็นสัญญากับเยาวชนในบ้านของตัวเอง และยังแย้งอีกว่ายูไนเต็ดได้นำเงินมาเป็นตัวช่วยโน้มใจเอดเวิดส์และครอบครัวของเขา แต่ตัวเอดเวิดส์ยืนยันว่าเขาต้องการที่จะเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลในแลงคาเชอร์[16] นอกจากนี้ เขายังได้รับการประกันว่าหากไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอลจะยังคงมีงานทำ โดยได้ฝึกงานเป็นช่างไม้[17]

อาชีพนักฟุตบอล

เอดเวิดส์เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลที่ทีมเยาวชนของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้ลงเล่นเป็นครั้งคราวในการแข่งขันเอฟเอยูธคัพ ซึ่งพวกเขาชนะเลิศเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496[18] แต่ในนัดชิงชนะเลิศนั้น เขาก็ได้ลงเป็นตัวจริงนัดแรก วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2496 เขาได้เล่นในนัดฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันที่พบกับคาร์ดิฟฟ์ซิตี ซึ่งยูไนเต็ดแพ้ 4–1[19] ด้วยอายุ 16 ปี 185 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดตลอดกาลที่เล่นในลีกสูงสุด[20] ด้วยความที่สโมสรในเวลานั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นที่อายุมากเป็นจำนวนมาก บัสบี ผู้จัดการทีมในขณะนั้น จึงได้หาเยาวชนเข้ามาเสริมแทน และเอดเวิดส์ พร้อมกับเดนนิส ไวโอลเล็ต และแจ็กกี บลันช์ฟลาวเวอร์ เป็นหนึ่งในเยาวชนที่บัสบีได้ดึงขึ้นมาทดแทนผู้เล่นเก่าในช่วงปี พ.ศ. 2496 ซึ่งภายหลังได้เรียกเยาวชนชุดนี้ว่า "บัสบีเบบส์"[8] ด้วยความสามารถของเขาในนัดแรกที่ได้ลงเป็นตัวจริง หนังสือพิมพ์แมนเชสเตอร์การ์เดียน ให้ความเห็นไว้ว่า "เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผ่านบอลและยิง แต่เขาจะต้องเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่านี้ ในฐานะที่เล่นในตำแหน่งปีก"[21]

ฤดูกาล 1953–54 เอดเวิดส์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแก่สโมสรบ่อยครั้ง จนเสมือนว่าเขาเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรไปแล้ว[12] หลังจากในนัดกระชับมิตรกับสโมสรฟุตบอลคิลมาร์นอก เขาแทนที่เฮนรี คอกเบิร์นที่บาดเจ็บ ในนัดเยือนที่พบกับสโมสรฟุตบอลฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2496[22] และได้ลงเป็นตัวจริงทั้งหมด 24 นัดในลีก และในเอฟเอคัพซึ่งพ่ายแพ้ให้กับเบิร์นลีย์[23][24] ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทีมเยาวชนและได้ชนะเลิศเอฟเอยูธคัพเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน เขาได้ลงเป็นตัวจริงครั้งแรกแก่ทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 23 ปีในนัดที่พบกับอิตาลี[25] เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2497 หลังจากนั้นเขาก็ถูกพิจารณาให้ขึ้นไปเล่นในทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ แต่ในวันที่คณะผู้คัดเลือกเดินทางมาดูการเล่นของเขาในนัดการแข่งขันกับอาร์เซนอล ในวันที่ 27 มีนาคม เขาแสดงฟอร์มการเล่นที่ไม่ดี ทำให้เขาไม่ถูกพิจารณา[26]

ฤดูกาลต่อมา เขาได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงทั้งหมด 36 ครั้งและสามารถทำประตูได้เป็นประตูแรก และสโมสรจบเป็นอันดับที่หกในฤดูกาลนั้น[23] ความสามารถของเขาทำให้เขาจะถูกคัดตัวไปร่วมทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งที่สอง และสมาชิกของคณะผู้คัดเลือกก็รีบรุดมาชมการแข่งขันกับฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ ที่มีขึ้นในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2497 แต่ความสามารถของเขาก็ไม่เข้าตาของคณะผู้คัดเลือกอีก[27] แม้ว่าเขาจะถูกเลือกให้ไปเล่นในทีมรวมฟุตบอลลีก ซึ่งจะแข่งขันในนัดกระชับมิตรกับทีมรวมฟุตบอลลีกสกอตแลนด์[28] ในเดือนมีนาคม เขาเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษชุดบี พบกับทีมที่อยู่ในระดับเดียวกันจากประเทศเยอรมนีและหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ แม้ว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเล่นที่ไม่ดี[29] เขาได้ลงเป็นตัวจริงครั้งแรกสำหรับทีมชาติเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ในนัดที่พบกับสกอตแลนด์ ในการแข่งขันบริติชโฮมแชมเปียนชิพ ด้วยอายุ 18 ปี 183 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแก่ทีมชาติอังกฤษ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่สถิตินี้ก็คงอยู่จนกระทั่ง ไมเคิล โอเวน ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2541[8][14] สามสัปดาห์ต่อมา ยูไนเต็ดยังคงให้เขาติดทีมเยาวชนของสโมสร เพื่อจะได้ชนะเลิศเอฟเอยูธคัพเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน แต่การที่นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษเล่นให้กับทีมเยาวชนนั้นจะไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง และถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก แมตต์ บัสบี ผู้จัดการทีมก็ออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อปกป้องตัวเอดเวิดส์ที่ได้ตัดสินใจว่าจะลงเล่นให้กับทีมเยาวชน[30]

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2498 เอดเวิดส์ถูกเลือกให้เล่นกับทีมชาติอังกฤษชุดที่จะไปแข่งกับฝรั่งเศส โปรตุเกส และสเปน ซึ่งเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งสามนัด[31] หลังจากที่เขากลับมาจากยุโรปแผ่นดินใหญ่แล้ว เขาก็ได้เกณฑ์ทหารกับกองทัพบริติชเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นข้อบังคับสำหรับชายหนุ่มที่มีอายุเท่าเขาในเวลานั้น[32] ซึ่งเขาได้ประจำการอยู่ที่เนสส์คลิฟฟ์ ใกล้กับชูร์วสบรี ร่วมกับเพื่อนร่วมทีม บ็อบบี ชาร์ลตัน แต่ทั้งสองของถูกอนุญาตให้กลับไปเล่นกับสโมสรได้ตามเวลา[33] เขายังได้ลงเล่นในนัดแข่งขันของทหาร และในหนึ่งฤดูกาล เขาก็ได้ลงไปกว่า 100 นัดทั้งหมด[34] ในฤดูกาล 1955–56 เอดเวิดส์ไม่ได้ลงเล่นให้กับสโมสรเป็นระยะเวลาเกือบสองเดือน เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่[35] แต่ถึงอย่างนั้น เขายังสามารถลงเล่นให้กับยูไนเต็ดได้ 33 นัด จนกระทั่งยูไนเต็ดชนะเลิศฟุตบอลลีก โดยมีคะแนนห่างจากแบล็กพูล 11 คะแนน[23][36] ฤดูกาลต่อมา เขาลงเล่นในลีก 34 นัด ซึ่งยูไนเต็ดก็ได้ชนะในฟุตบอลลีกเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน[23][37] เขายังได้อยู่ในทีมชุดที่จะแข่งเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ 1957 แต่ยูไนเต็ดก็พลาดคว้าสองแชมป์ โดยแพ้ให้กับแอสตันวิลลา 2–1[38] เขายังได้ลงเล่นให้กับยูไนเต็ดในการแข่งขันยูโรเปียนคัพทั้งหมด 7 นัด[23] รวมทั้งนัดที่ยูไนเต็ดชนะอันเดอร์เลชท์ 10–0 ซึ่งกลายเป็นสถิติของยูไนเต็ดที่ชนะด้วยประตูมากที่สุด[39] ตอนนี้เอดเวิดส์ก็กลายเป็นตัวจริงของทีมชาติอังกฤษไปแล้ว โดยได้ลงเล่นในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1958 ทั้ง 4 นัด และทำประตูได้สองประตู ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นนัดที่ชนะเดนมาร์ก 5–2[31][40] เขาถูกคาดหมายไว้ว่าจะเป็นผู้เล่นอังกฤษคนหนึ่งที่จะได้เล่นในรอบแพ้ตัดเชือกของฟุตบอลโลก และยังหมายไว้อีกว่า เขาจะได้แทนที่ บิลลี ไรท์ เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ[41][42]

เอดเวิดส์เริ่มต้นฤดูกาล 1957–58 ด้วยฟอร์มที่ดีและมีข่าวลือว่าสโมสรใหญ่จากอิตาลีจะเซ็นสัญญากับเขา[43] นัดสุดท้ายของเขาในอังกฤษ มีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เมื่อเขาทำประตูให้กับยูไนเต็ดให้เอาชนะอาร์เซนอลไปได้ 5–4[44] การเล่นของเขาถูกวิจารณ์โดยสำนักข่าว เนื่องจากการเล่นที่ไม่ดีของเขา เป็นเหตุให้อาร์เซนอลได้ประตูที่ 4 แต่ก็ยังทำให้วอลเตอร์ วินเตอร์บอตทอม ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษประทับใจ[45] ห้าวันต่อมา เขาลงเล่นในนัดสุดท้ายตลอดกาลของเขา ซึ่งยูไนเต็ดเสมอกับเรดสตาร์เบลเกรด 3–3 ในนัดเยือนและได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ด้วยผลรวมประตู 5–4[46]

การเสียชีวิต

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ โปรดดู โศกนาฏกรรมมิวนิก
เอดเวิดส์ถูกฝังอยู่ที่สุสานดัดลีย์ และหลุมศพของเขาก็ยังคงมีสิ่งรำลึกจากแฟนของเขามากมาย

ขณะที่เดินทางจากเบลเกรด เพื่อกลับบ้าน เครื่องบินที่เอดเวิดส์และเพื่อนร่วมทีมของเขาโดยสารอยู่ก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างที่จะบินขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เครื่องบินลำนี้ได้ลงจอดเพื่อเติมเชื้อเพลิงในมิวนิก ประเทศเยอรมนี[47] ผู้เล่น 7 คนและผู้โดยสารคนอื่น 14 คนเสียชีวิตทันที[47] และเอดเวิดส์ถูกพามายังโรงพยาบาลเรชส์แดร์อีซาร์ในมิวนิก ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสที่ขา สะโพก และไต[48][49] แพทย์พยายามปลอบเขาด้วยโอกาสที่จะรอดชีวิต แต่เขาอาจไม่สามารถกลับไปเล่นฟุตบอลได้อีก[50]

แพทย์ได้ใช้ไตเทียม เพื่อให้เขามีชีวิตรอดต่อไป แต่อวัยวะเทียมนี้ทำให้ความสามารถในการแข็งตัวของเลือดลดลง และเริ่มมีเลือดออกภายในร่างกาย[51] อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงถามผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี เมอร์ฟี ว่า "กี่โมงที่เราจะลงเล่นกับวูฟส์ จิมมี? ฉันต้องไม่พลาดนัดนั้น"[52] วันที่ 14 กุมภาพันธ์ อาการของเขาถูกรายงานว่า "ดีขึ้นอย่างมาก"[53] ถึงกระนั้น วันที่ 19 กุมภาพันธ์ อาการของเขากลับทรุดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้ไตเทียม ซึ่งทำให้สุขภาพของเขาย่ำแย่ลง[54] แพทย์ต่างประหลาดใจกับการสู้ชีวิตของเขา และวันต่อมา อาการของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น[49][51][55] แต่ท้ายที่สุดแล้วเอ็ดเวิร์ดได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เวลา 2 นาฬิกา 15 นาที[56] หนึ่งชั่วโมงก่อนการเสียชีวิตของเขา นิตยสาร Football Mouthly ของชาลส์ บูคัน ก็ถูกตีพิมพ์ ด้วยหน้าปกที่มีภาพถ่ายของเอ็ดเวิร์ดกำลังยิ้มอยู่[57]

ร่างของเอดเวิดส์ถูกฝังที่สุสานดัดลีย์ ใน 5 วันต่อมา[58] เขาถูกฝังข้าง ๆ หลุมศพของแคโรล แอนน์ น้องสาวของเขา[59] ประชาชนกว่า 5,000 คนออกมายืนเรียงกันตามถนนในดัดลีย์สำหรับงานศพของเขา[60] หลุมศพของเขาจารึกไว้ว่า "วันแห่งความทรงจำ เขาจากพวกเราไปโดยไม่มีการอำลาและเขาจะไม่กลับมาอีก"[61] และหลุมศพของเขาก็จะมีแฟนคลับมาเยือนที่นี่อยู่บ่อยๆ[62]

การระลึก

ถนนหนึ่งในดัดลีย์ได้ตั้งชื่อตามเอดเวิดส์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

เอดเวิดส์ได้ถูกทำเป็นอนุสรณ์หลายแห่งในดัดลีย์ บ้านเกิดของเขา ภาพวาดหน้าต่างกระจกสีของโบสถ์เซนต์ฟรานซิสซึ่งออกแบบโดยฟรานซิส สกีต[63] ถูกเปิดตัวโดยแมตต์ บัสบี ในปี พ.ศ. 2504[3] และรูปปั้นของเขาในใจกลางเมืองดัดลีย์ก็มอบให้จากแม่ของเอดเวิดส์และบ็อบบี ชาร์ลตัน ในปี พ.ศ. 2542[64] ปี พ.ศ. 2536 ตรอกตันของชุมชนหนึ่งใกล้กับสุสาน ที่ซึ่งเขาถูกฝังไว้ ได้ถูกตั้งชื่อว่า "ตรอกดันแคนเอดเวิดส์"[59] ผับเวร์นส์เนสต์ในพรีออรีเอสเทท ใกล้กับที่ที่เอดเวิดส์เติบโตมา ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ดิดันแคนเอดเวิดส์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในปี พ.ศ. 2544 แต่มันก็ปิดตัวลงในห้าปีต่อมา เนื่องจากมีผู้ลอบวางเพลิง[65] ในปี พ.ศ. 2549 มีเครื่องเล่นใหม่ๆ มูลค่ากว่า 100,000 ปอนด์ ในสวนสาธารณะพรีออรี ที่ซึ่งเอดเวิดส์มาเล่นตอนเด็กๆ[66] ในปี พ.ศ. 2551 ถนนเลี่ยงเมืองทางตอนใต้ของดัดลีย์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ดันแคนเอดเวิดส์เวย์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา[67] พิพิธภัณฑ์ศิลปะดัดลีย์ได้จัดแสดงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับเขา รวมถึงหมวกที่แทนถึงการลงเล่นของเขาให้กับอังกฤษ[68] บ้านจัดสรรในแมนเชสเตอร์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นดันแคนเอดเวิดส์ รวมทั้งถนนที่ตัดผ่านบ้านเหล่านั้น ก็ได้นำชื่อของผู้เสียชีวิตในโศกนาฎกรรมมิวนิกมาตั้ง เช่น เอ็ดดี โคลแมน โรเจอร์ เบิร์น และทอมมี เทย์เลอร์[69] ในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แผ่นฟ้าถูกเปิดตัวโดยบ็อบบี ชาร์ลตัน ที่ห้องพักของเขาในสเตทฟอร์ด[70]

ในปี พ.ศ. 2539 เอดเวิดส์เป็นหนึ่งในผู้เล่นห้าคนที่ถูกเลือกให้อยู่ในตราไปรษณียากรบริติช ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ตำนานนักฟุตบอล" โดยได้เปิดตัวเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996[71] เขายังถูกแสดงโดยแซม แคลฟลิน ในภาพยนตร์บริติชเรื่อง ยูไนเต็ด ซึ่งมีโครงเรื่องมาจากโศกนาฎกรรมมิวนิก[72]

มีหลายคนที่ยกย่องความสามารถของเอดเวิดส์ บ็อบบี ชาร์ลตัน กล่าวถึงเอดเวิดส์ว่า "เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า" และกล่าวว่าการตายของเขาเป็น "โศกนาฎกรรมเดียวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและฟุตบอลอังกฤษ"[73] เทอร์รี เวนาเบิลส์ เชื่อว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ คนที่จะชูถ้วยฟุตบอลโลกในฐานะกัปตันทีมชาติอังกฤษ จะไม่ใช่บ็อบบี มัวร์ แต่เป็นดันแคน เอดเวิดส์[48] ทอมมี ดอเชอร์ตีกล่าวว่า "ไม่มีข้อกังขาใดๆ ที่จะทำให้ผมมั่นใจได้ว่าดันแคนเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาล ไม่ใช่แค่เฉพาะยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษ แต่ยังดีที่สุดในโลก แม้ว่าจอร์จ เบสต์จะพิเศษ เช่นเดียวกับเปเล่ และมาราโดนา แต่สำหรับผมแล้ว ดันแคนดีกว่าพวกเขามากทั้งในด้านทักษะและความสามารถ"[74] การรับรู้ถึงความสามารถของเอดเวิดส์นั้น ทำให้มันเป็นอันดับแรกของฮอลล์ออฟเฟมของฟุตบอลอังกฤษในปี พ.ศ. 2545[75]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ดังคัน_เอดเวิดส์ http://www.sportsnet.ca/soccer/2008/02/01/edwards_... http://www.englandfootballonline.com/TeamHons/Hons... http://www.expressandstar.com/2008/01/08/duncan-ed... http://www.expressandstar.com/news/2010/11/15/fami... http://soccernet.espn.go.com/feature?id=505119 http://news.google.com/newspapers?id=-wFBAAAAIBAJ&... http://news.google.com/newspapers?id=vGNkAAAAIBAJ&... http://www.heraldscotland.com/sport/spl/aberdeen/e... http://www.manutd.com/en/Players-And-Staff/Legends... http://www.nationalfootballmuseum.com/pages/fame/I...