ปัญหาสิ่งแวดล้อม ของ ทะเลอารัล

ประวัติ

ภาพถ่ายทะเลอารัลทางอากาศ เดือนตุลาคม 2551

ใน พ.ศ. 2461 รัฐบาลโซเวียตมีโครงการเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำสองสายซึ่งหล่อเลี้ยงทะเลอารัล ได้แก่แม่น้ำอามูดาร์ยา ทางตอนใต้ และแม่น้ำซีร์ดาร์ยา ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างการชลประทานให้พื้นที่ทะเลทรายในการปลูกข้าว แตง ธัญพืช และฝ้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของสหภาพโซเวียตเพื่อส่งเสริมให้ฝ้าย หรือทองคำสีขาว กลายเป็นสินค้าส่งออกหลัก โครงการนี้ทำให้ประเทศอุซเบกิสถานกลายเป็นผู้ส่งออกฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก[3]

เรือที่ถูกทิ้งในบริเวณซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเล1960–2014

การก่อสร้างคลองชลประทานเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 2480 แต่คลองหลายสายถูกสร้างไม่ดี ทำให้สูญเสียน้ำจากการรั่วและระเหย มีการสูญเสียน้ำประมาณร้อยละ 30 ถึง 75 จากคลองคาราคัมซึ่งเป็นคลองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ก่อนถึงปี 2500 น้ำประมาณ 20 ถึง 60 ลูกบาศก์กิโลเมตรไหลไปยังพื้นดินแทนที่จะไหลลงทะเล น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเส้นทาง จนทำให้ทะเลอารัลเริ่มหดตัวในช่วงทศวรรษที่ 2500 ระหว่างปี 2504 ถึง 2513 ระดับน้ำทะเลลดลงเฉลี่ยปีละ 20 เซนติเมตร ในทศวรรษที่ 2510 ระดับเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 50 ถึง 60 เซนติเมตรต่อปี และในทศวรรษที่ 2520 น้ำในทะเลยิ่งลดลงเร็วขึ้น ที่อัตราเฉลี่ย 80 ถึง 90 เซนติเมตรต่อปี การใช้น้ำเพื่อการชลประทานก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ปริมาณน้ำที่ถูกนำไปใช้จากแม่น้ำเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าระหว่างปี 2500 และ 2543 ในขณะที่ปริมาณการผลิตฝ้ายก็เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงเวลาเดียวกัน อุตสาหกรรมประมงในทะเลอารัลต้องสูญหายไป ทั้งที่ในยุครุ่งเรืองเคยมีการจ้างงานกว่า 40,000 คน และจับปลาได้ถึงหนึ่งในหกของปลาทั้งหมดของสหภาพโซเวียต เช่นเดียวกับการจับหนูมัสแครตบริเวณปากแม่น้ำอามูดาร์ยาและซีร์ดาร์ยา ซึ่งเคยผลิตขนได้ถึง 500,000 ตัวต่อปี[4]

การหดตัวของทะเลอารัลไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของโซเวียต ในปี พ.ศ. 2507 อเล็กซานดร์ อซาริน แห่งสถาบันไฮโดรโปรเจกต์ ชี้ให้เห็นว่าทะเลสาบนี้ต้องถูกทำลายลงโดยอธิบายว่า "มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนห้าปีซึ่งอนุมัติโดยรัฐบาลแห่งสหภาพโซเวียต และโปลิตบูโร ไม่มีใครในตำแหน่งต่ำกว่ากล้าขัดแย้งแผนเหล่านี้แม้แต่คำเดียว ถึงแม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับชะตาของทะเลอารัลก็ตาม"[4]