ประวัติ ของ ทัง_เจิ้นเยี่ย

ชีวิตเริ่มแรกและก้าวแรกในวงการบันเทิง (พ.ศ. 2501-2524)

ปู่ย่าและพ่อแม่ของทังเจิ้นเยี่ย พื้นเพเดิมเป็นชาวเมืองแต้จิ๋วจังหวัดซัวเถาในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ต่อมาทั้งหมดได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในฮ่องกง

ทังเจิ้นเยี่ย มีชื่อเล่นว่า อาทัง (阿湯) และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า เคนท์ ทัง (Kent Tong) เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2501 (1958) ที่ฮ่องกง ในครอบครัวที่มีฐานะยากจนมากโดยที่พ่อของเขามีอาชีพ ชาวประมง หาเช้ากินค่ำเท่านั้นและปู่ทำอาชีพเป็นเชฟในร้านอาหารซีฟู้ดแห่งหนึ่ง เขาเป็นบุตรคนที่ห้าจากพี่น้องทั้งหมด 8 คนด้วยกันโดยมีพี่ชายอีกคนที่ต่อมาก็ได้เป็นดารานักแสดงเช่นกันคือ ทังเจิ้นจง ซึ่งเขาเป็นบุตรคนที่สี่ สมาชิกในครอบครัวทั้ง 12 คนอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ เพียง 30 ตารางเมตรที่ตั้งอยู่บนถนนเบลเชอร์ (Belcher Street) แถวตลาดย่าน ไซ้-เหย่ง-ผู่น (Sai Ying Pun) เขตสะพานไม้ (西環泳棚) โดยมีพ่อและปู่เป็นเสาหลักของครอบครัวในขณะที่เขายังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย แต่แล้วปู่ของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคชราและได้นำร่างไปฝังไว้ที่เกาะลัมมา (Lamma Island) ในช่วงนี้เองที่พี่สาวของเขาได้พบรักกับลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านบนเกาะลัมมาที่มีฐานะค่อนข้างดีและไม่นานเขาก็ได้เป็นพี่เขยของทังเจิ้นเยี่ยในเวลาต่อมา หลังจากนั้นทางครอบครัวตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่นั้นและพี่เขยได้ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างหมู่บ้านให้กับชาวเขาบนเกาะเมื่อทังเจิ้นเยี่ย เรียนจบม.6 จากโรงเรียนมัธยมศึกษา เผยอิง (Pui Ying Secondary School)แล้วเขาก็ได้ทำงานร่วมกับพี่เขยในช่วงระยะสั้น ๆ โดยเป็นช่างปูน

ต่อมาเขาได้ออกจากงานก่อสร้าง เมื่อเพื่อนของพ่อในหมู่บ้านได้แนะนำงานในบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเซ็นทรัลฮ่องกง (Trung Hoan) ซึ่งเขาได้เงินเดือน 500 เหรียญฮ่องกงต่อเดือนโดยมีตำแหน่งงานรับผิดชอบในการส่งจดหมายและส่งสำเนาดาราภาพยนตร์ ในเวลาไม่ถึงปีเพื่อนในบริษัทได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาที่หล่อเหลากว่านักแสดงบางคนในบริษัท จึงแนะนำให้เขาเป็นนักแสดงโดยไปเข้าร่วมชั้นฝึกอบรมการแสดงที่บริษัทภาพยนตร์ของไต้หวันแห่งหนึ่งที่เปิดในฮ่องกง หลังจากที่เขาเข้ารับการฝึกอบรมการแสดงได้ไม่นานทางบริษัทได้ย้ายเขาเข้าไปอบรมหลักสูตรการแสดงที่สถานีโทรทัศน์ทีวีบีแทน ในรุ่นที่ 8 เมื่อปีพ.ศ. 2522 (1979) และเรียนจบการแสดงในปีถัดมา แรกเริ่มทังเจิ้นเยี่ยก็เหมือนกับนักแสดงหน้าใหม่คนอื่น ๆ ที่ทางช่องปลุกปั้นโดยให้รับบทเล็ก ๆ ไปก่อน เมื่อเห็นแววรุ่งแล้วจึงจะให้รับบทนำ โดยเริ่มแรกทางช่องให้เขารับบทเป็นทั้งตัวประกอบและบทสมทบในละครดัง เช่น ชอลิ้วเฮียง เวอร์ชัน เจิ้งเส้าชิว และละครแนวสมัยใหม่เรื่องแผ่นดินรัก แผ่นดินทอง (This Land Is Mine 1980) จนได้มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบทบาทสมทบที่โดดเด่นในละครยอดนิยมเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หลังจากนั้นเขาก็มีบทบาทในละครดัง ๆ ตามมาอีกมากมายเช่นละครดราม่ายอดนิยมเรื่อง ฝันสลาย(Yesterday’s Glitter), คมเฉือนคม (The Shell Game), มังกรแค้นหงส์ (乱世儿女), รักพยาบาท (The Adventurer's), เส้นทางชีวิต ลิขิตความสำเร็จ (他的一生 1981),นางพญาปาฎิหาริย์ (Double Fantasies) และพยัคฆ์ร้ายแดนมังกร (Seekers 1981) เป็นต้น ถึงแม้เริ่มแรกเขาจะเป็นแค่ตัวประกอบบ้างสมทบบ้างสลับกันไปแต่ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาของเขาและรูปร่างที่สูงสะโอดสะองทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งมาแรงคนหนึ่ง

โด่งดังเป็นพลุแตกกับบทต้วนอี้และพบรัก (พ.ศ. 2525-2526)

ต่อมาทางช่องเห็นแววรุ่งของเขา จึงมอบบทเด่นให้เขาสวมบทบาทเป็นต้วนอี้ ในละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่ประจำปี 50 ตอนจบเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ฉบับปีพ.ศ. 2525 (Demi-Gods and Semi-Devils 1982 I & II) ที่ร่วมแสดงนำกับ เหลียงเจียเหยิน, เฉิน อวี้เหลียน, หวง ซิ่งซิ่ว และหวงเย่อหัว หลังจากละครเรื่องนี้ออนแอร์ออกอากาศ ทำให้นักแสดงนำทั้งหมดโด่งดังเป็นพลุแตกทันที โดยเฉพาะกับการสวมบทบาทต้วนอี้ ที่ทำให้เขาเป็นขวัญใจสาว ๆ ในตอนนั้นเป็นอย่างมากอีกทั้งละครเรื่องนี้ยังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วเอเชียอีกด้วย จากความสำเร็จของละครเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าทำให้ในปีเดียวกันได้มีการสร้างละครเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ฉบับภาพยนตร์ (Demi-Gods and Semi-Devils 1982) และเขาได้มีโอกาสแสดงในบทต้วนอี้ อีกครั้งนอกจากนี้เขายังมีผลงานละครโดดเด่นในปีเดียวกัน เช่น 13 องค์รักษ์ล่าพระกาฬ (The Wild Bunch) และเทพบุตรสลัม (Soldier of Fortune 1982) ซึ่งละครทั้งสองเรื่องต่างนำพาความนิยมให้แก่ตัวเขาเพิ่มขึ้นเช่นกันหลังจากโด่งดังกับบทบาท ต้วนอี้ แล้วทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีได้ผลักดันส่งเสริมเขาเป็นอย่างมากจนในปีถัดมาเขาได้รับบทนำเป็นพระเอกเต็มตัว ในละครเรื่อง สมิงสาวใจเพชร (The Legend of the Unknowns 1982) ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับดาราชั้นนำ เช่น หวง ซิ่งซิ่ว, หยาง พ่านพ่าน, เยิ่นต๊ะหัว และดาราสาวดาวรุ่งน้องใหม่ของวงการ องเหม่ยหลิง เธอได้ก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิงจากการเข้าประกวดนางงามฮ่องกงในปีนั้น นอกจากละครเรื่องนี้จะแจ้งเกิดให้กับดาราน้องใหม่อย่าง องเหม่ยหลิงแล้ว ยังเป็นละครที่ทำให้ทั้งทังเจินเยี่ยและเธอ ได้พบรักกันในกองถ่ายจนกลายเป็นคู่รักที่ถูกจับตามองในตอนนั้นเป็นอย่างมากเพราะฝ่ายชายในตอนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น คาสโนว่าตัวพ่อ หรืออีกฉายาที่สื่อตั้งให้คือ เทพบุตรแห่งความรัก ที่ไม่เคยคิดจะจริงจังกับสาวคนใดมาก่อน เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกและมีข่าวพัวพันกับหญิงสาวมาแล้วหลายคน เช่น ดาราสาวสมทบชื่อดัง จิ่ง ไต้อิง รวมไปถึงรองนางงามฮ่องกงปีพ.ศ. 2524 เดปอร่า มัวร์ แต่ถึงกระนั้น องเหม่ยหลิง ก็ยังคงยืนยันในสายตาตัวเองว่าเธอดูคนไม่ผิดและทั้งคู่ก็คบหาดูใจกันอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังอันใด ส่วนผลงานอื่นที่โดดเด่นในปีถัดมา เช่น เจ้าพ่อพยัคฆ์ร้าย (The Bold Ones 1983) รับบทเป็นพระเอก และมังกรหยก ภาค 2 (The Return of the Condor Heroes 1983) โดยเรื่องหลังนี้รับบทเป็นตัวโกงพอใกล้สิ้นปีทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ก่อตั้งกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบี ขึ้นมาจากการโชว์การแสดงในรายการของสถานีโดยมี 5 นักแสดงชายดาวรุ่งพุ่งแรง ของทางค่ายทีวีบี 5 คนมารวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วย เหมียวเฉียวเหว่ย, หลิวเต๋อหัว, เหลียงเฉาเหว่ย หวงเย่อหัว และเขา ผู้ซึ่งสื่อยกย่องว่ามีใบหน้าที่หล่อที่สุดในกลุ่มห้าพยัคฆ์ จนเป็นที่มาของฉายาที่สื่อตั้งให้กับเขาว่าเป็นเจ้าชายแห่งกลุ่มห้าพยัคฆ์ทีวีบี

ความนิยมซาลงและมีปัญหาความรัก (พ.ศ. 2527)

ปีถัดมาพ.ศ. 2527 ครึ่งปีแรกเขายังคงได้รับความนิยมและรุ่งทั้งเรื่องงานและความรัก โดยมีผลงานละครที่โดดเด่น เช่น ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์ (The Foundation 1984),มนต์รักม่านมายา (Love me, love me not 1984) และ5 พยัคฆ์ร้ายมายา(The Rise And Fall of a Stand-in 1984) แต่ทว่าผลงานในครึ่งปีหลัง เช่นจอมเพชฌฆาตหมัดสิงโต (The Return Of Wong Fei Hung), ท่านเปาปุ้นจิ้น ผู้ผดุงความยุติธรรม (Pau Ching Tin The Law Enforcer 1984) และชะตาชีวิต (Summer Kisses Winter Tears 1984) กลับไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร ทำให้ความนิยมในตัวเขาเริ่มซาลงสวนทางกับแฟนดาราสาว องเหม่ยหลิง ที่กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากกับผลงานที่เธอเล่นคู่กับเหมียวเฉียวเหว่ย จนทั้งสองกลายเป็นคู่ขวัญทางหน้าจอทีวีที่แฟน ๆ ละครต่างลุ้นให้รักกันนอกจอ ต่อมาก็เริ่มมีข่าวซุบซิบนินทาว่าช่วงหลังผลงานของ ทังเจิ้นเยี่ยไม่ได้รับความนิยมเลยที่ดังได้เพราะเกาะกระแสแฟนสาว องเหม่ยหลิง ดัง ข่าวนี้ทำให้ทั้งคู่เกิดช่องว่างระหว่างกันและนับตั้งแต่นั้นเขาก็เริ่มมีปัญหาความรักกับเธอและเกิดปัญหาขึ้นในช่วงนี้ที่ ทังเจิ้นเยี่ยได้ตัดสินใจรับเล่นหนังเรท R เรื่อง รักร้อนสวาท (Maybe It's Love 1984) คู่กับดาราสาวจอเงินชื่อดัง จง ฉู่หง โดยที่เขาเพียงแต่หวังว่า หนังเรท R เรื่องนี้จะสามารถเรียกกระแสฮือฮาจากคนดูและทำให้เขากลับมาได้รับความนิยมได้เหมือนเดิมซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ องเหม่ยหลิง เกิดความรู้สึกลึก ๆ ไม่พอใจเป็นอย่างมากและเกิดอาการประชดประชันเขาขึ้นมาด้วยการออกไปเดทกับผู้ชายคนอื่นเพื่อเป็นข่าวให้เขาเกิดความหึงหวงในตัวเธอ เช่น หวงเย่อหัว, หลิวเต๋อหัว และ เหมียวเฉียวเหว่ย ซึ่งทั้ง 3 คน ก็เคยมีข่าวลือในระยะสั้น ๆ ว่าไปออกเดทกับเธอมาแล้วทั้งนั้นแต่ในความเป็นจริงทั้ง 3 คน เป็นแค่เพื่อนสนิทในวงการของเธอเท่านั้นเองแต่โดยเฉพาะกับ เหมียวเฉียวเหว่ย นั้น สื่อต่างๆ พยามยามจับคู่เธอกับ เหมียวเฉียวเหว่ยให้เป็นแฟนกันและพยายามสร้างกระแสเล่นข่าวเธอ กับ เหมียว เฉียวเหว่ย ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันในตอนถ่ายละครเรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" บวกกับแรงเชียร์จากบรรดาแฟนคลับของคนทั้งคู่ที่อยากให้ทั้งคู่เป็นแฟนกันจริง ๆ กลายเป็นข่าวฉาวรักสามเส้าของทั้งสองฝ่าย จนต่อมามีข่าวลือซุบซิบออกมาว่าดาราสาว ชี เหม่ยเจิน ซึ่งเป็นแฟนสาวตัวจริงของ เหมียวเฉียวเหว่ย และเป็นเพื่อนสนิทของ องเหม่ยหลิง เกิดการไม่พอใจขึ้นมาและไม่ต้องการให้ เหมียวเฉียวเหว่ย เล่นประกบคู่ กับ องเหม่ยหลิง อีก หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เล่นประกบคู่กันอีกเลย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับทั้ง เหมียวเฉียวเหว่ย และ องเหม่ยหลิง เป็นอย่างมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว จนกระทั่ง เหมียวเฉียวเหว่ย ต้องออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อยุติข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตัวเขารัก ชีเหม่ยเจิน เพียงคนเดียว ส่วน องเหม่ยหลิง นั้นเขาเห็นเธอเหมือนน้องสาวที่แสนดีเท่านั้นเพราะเขาเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลยและรู้ว่าเธอคบกับทังเจิ้นเยี่ยอยู่ จากข่าวลือเรื่องนี้ทำให้ในระยะหลัง องเหม่ยหลิง และ เหมียวเฉียวเหว่ย เองต่างก็ติดต่อกันน้อยลง จนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนสนิทก็เริ่มห่างเหินกันไปเพราะกลัวทั้งแฟนหนุ่ม(ทังเจิ้นเยี่ย)และแฟนสาวของเหมียวเฉียวเหว่ย (ชีเหม่ยเจิน)จะเข้าใจผิด แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทังเจิ้นเยี่ย กับองเหม่ยหลิง ในระยะครึ่งปีหลังยังคงกระท่อนกระแท่นมาโดยตลอด

ตกต่ำถึงขีดสุดและย้ายไปไต้หวัน (พ.ศ. 2528-2532)

ปีพ.ศ. 2528 ทังเจิ้นเยี่ย ได้รับการติดต่อจากเฉินหลง ให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ดังเรื่อง วิ่งสู้ฟัด (Police story 1985) ซึ่งเป็นหนังที่เฉินหลงทั้งแสดงนำเองและกำกับเอง โดยร่วมแสดงกับหลิน ชิงเสีย และจาง ม่านอวี้ จากการที่เขาได้มีโอกาสเล่นหนังเรื่องนี้ทำให้ ทังเจิ้นเยี่ย เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ตามด้วยผลงานละครยอดนิยม เรื่องนางพญาหน้าด่าง (The Legend of Lady Chung 1985) ที่เขาได้ร่วมแสดงกับดาราสาวรุ่นพี่ชื่อดัง เจิ้งอวี้หลิง และละครเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จมาก นอกจากนี้เขายังมีผลงานละครแนวสากลที่โดดเด่น ได้แก่พยัคย์สาวนักสืบ (The Brave Squad 1985) และคลื่นกระทบฝั่ง (Tough Fight 1985) ซึ่งทั้งสองเรื่องค่อนข้างได้รับความนิยมพอสมควร ทว่าในขณะที่เขาเริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่แล้วก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ได้มีข่าวใหญ่ช็อกวงการเอเชียเมื่อแฟนสาวดาราชื่อดัง องเหม่ยหลิง จบชีวิตตัวเองด้วยการรมแก๊สในห้องพักหลังจากมีปากเสียงกับเขาสาเหตุเพราะรักเป็นพิษ หลังจากที่ทั้งสองเพิ่งจะเปิดกล้องละครที่แสดงในบทพระนางร่วมกันในเรื่อง เซียนโค่นเซียน ไปได้ไม่นาน ข่าวการจากไปอย่างกระทันหันของดาราสาว องเหม่ยหลิงได้สร้างความเสียใจมากมายให้กับแฟนละครที่มีอยู่อย่างล้นหลามของเธอ และแน่นอนตัวเขาย่อมได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์นี้โดยตรง และนับตั้งแต่นั้นชื่อเสียงของเขาก็ดิ่งลงเหวทันทีเมื่อผู้คนมากมายในฮ่องกงแอนตี้และต่อต้านผลงานที่เขาจะร่วมแสดงเป็นผลให้ในละครฟอร์มใหญ่แห่งปีที่นำแสดงโดย 5 พยัคฆ์ทีวีบี เรื่องขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang's Saga 1985) เขาได้ถูกลดบทบาทลงจากเดิมที่เขาจะต้องรับบทเป็นหนึ่งในหยางทั้ง 7 คนแห่งตระกูลหยาง แต่ทางฝ่ายผลิตละครกลับมอบบทอ๋องแปด ให้เขาแทน ซึ่งเป็นบทที่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับ 4 พยัคฆ์ที่เหลือ

ในปีพ.ศ. 2529 กระแสแอนตี้และเกลียดชังในตัวเขาของผู้คนจำนวนมากในฮ่องกงยังคงรุนแรงและปีนี้เหมือนกับว่าทางช่องทีวีบีจะแช่แข็งเขาโดยป้อนงานละครให้กับเขาเพียงแค่เรื่องเดียว คือ หลินชง แห่งเขาเหลียงซาน (The Unyielding Master Lim 1986) ในปีถัดมาพ.ศ. 2530 กระแสความเกลียดชังในตัวเขายังคงมีมากมายเหมือนเดิมและทางช่องทีวีบีได้แบนเขาเต็มตัวโดยไม่มอบงานแสดงละครให้เขาเลยจนกระทั่งกลางปีเขาได้หมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ทังเจิ้นเยี่ยได้ตัดสินใจออกจากบริษัททีวีบี ประจวบเหมาะกับที่พี่ชาย ทังเจิ้นจง (นักแสดงยอดนิยมในไต้หวัน) ได้ชักชวนให้เขาออกจากเกาะฮ่องกงย้ายไปอยู่ที่ประเทศไต้หวันและรับงานแสดงที่นั้นเพื่อรอให้กระแสการต่อต้านเขาในประเทศฮ่องกงจากผลกระทบที่ดาราสาวยอดนิยม องเหม่ยหลิงต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควรได้ซาลงแล้วค่อยกลับฮ่องกงอีกครั้ง จนต่อมาเขาได้มีผลงานละครที่ไต้หวัน เช่น หวังเจาจวิน ปุพพางามแห่งแผ่นดิน (王昭君 1988), เฉินหยวนหยวน นางคณิกาล่มแผ่นดิน (陈圆圆1988)และเย้ยฟ้าท้าชะตาชีวิต (新啼笑姻緣 1989) ซึ่งผลงานละครเหล่านี้ทำให้เขาได้รับความนิยมในประเทศไต้หวันเป็นอย่างดี

กลับฮ่องกงและต่อมาเป็นนักแสดงอิสระ (พ.ศ. 2532-ปัจจุบัน)

หลังจากหลบไปรับงานแสดงอยู่ที่ไต้หวันพักใหญ่จนทำให้ห่างหายจากวงการบันเทิงฮ่องกงเกือบ 3 ปี พอหมดสัญญาการแสดงกับทางไต้หวันเขาได้ตัดสินใจกลับไปรับงานแสดงที่ฮ่องกงอีกครั้งโดยเข้าเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดสถานีโทรทัศน์เอทีวี ในราวกลางปีพ.ศ. 2532 และรับงานแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ โดยเริ่มมีผลงานละครในปีถัดมาเป็นละครสากลฟอร์มใหญ่เรื่อง เถื่อนทรนง (The Street Cherry Blossom 1989) ที่เขาได้เล่นคู่กับ ชีเหม่ยเจิน จากผลงานเรื่องนี้ทำให้ในตอนนั้นทั้งสองกลายเป็นคู่ขวัญจอแก้วของทางสถานีโทรทัศน์เอทีวีอีกคู่ ตามต่อด้วยผลงานที่ได้เล่นร่วมกันอีกในเรื่อง13 ฮ่องเต้ตำนานจักรพรรดิราชวงศ์ชิง (The Rise and Fall of Qing Dynasty IV) ส่วนผลงานละครเรื่องอื่น ๆ เช่น ศึกชิงบัลลังก์ ภาคพิเศษ (Noble Conflict), เกมส์รัก เกมกล (Who is The Winner III) และ ศึกสายเลือด ภาคพิเศษ (Secret Battle of The Majesty 1995) นอกจากงานละครกับค่ายเอทีวีแล้วเขายังมีผลงานทางด้านภาพยนตร์มากมายแต่ที่โดดเด่นเลยก็คือการนำเอาอดีตกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบีมาแสดงร่วมกันในเรื่อง เพื่อเพื่อน สับมันเลย (The Tigers 1991) ที่เขาแสดงเป็นตัวร้ายของเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมจนมีชื่อเข้าชิงสาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมประจำปีพ.ศ. 2534 กับงานแจกรางวัลฮ่องกงฟิล์มอวอร์ด ครั้งที่ 11 ( Best Supporting Actor Nomination for The Tigers -11th Hong Kong Film Awards) และยังมีชื่อเข้าชิงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ในสาขาเดียวกัน กับงานแจกรางวัลม้าทองคำ ครั้งที่ 28 (the 28th Golden Horse Awards) อีกด้วยนอกจากนี้เขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับ โจวซิงฉือ กับบทบาทสมทบในภาพยนตร์ตลกเรื่อง อุ้ยเสี่ยวป้อ จอมยุทธเย้ยยุทธจักร 2 (Royal Tramp II 1992) และยังรับแสดงในหนังเรทอาร์เกรดสามหลายเรื่อง ได้แก่เธอ...เพชฌฆาต ลองรัก (Pretty Woman 1991), กระสุนมาดามเปลือย (The Pearl of Oriental 1992), ตัณหา...ราคะ (Sex And Curse 1992), ตำรวจสาวจิ๊กกะโล่ (Bogus Cops 1993), ไฟรักไฟปรารถนา (Hot Desire 1993), กุหลาบเปลือย (Naked Rose 1994) ฯลฯ

แต่อย่างไรก็ตามทั้งงานละครและภาพยนตร์เหล่านั้นก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่ได้นำพาซึ่งความโด่งดังให้กับเขาเหมือนในอดีตได้อีกเลย สาเหตุเพราะผู้คนในฮ่องกงยังไม่ลืมว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ดาราสาวยอดนิยม องเหม่ยหลิง ต้องจากไปในขณะที่เธอยังรุ่งนั้นเอง หลังจากหมดสัญญากับทางสถานีโทรทัศน์เอทีวีในปีพ.ศ. 2540 (1997) พร้อมกับเข้าสู่ยุคตกต่ำของละครชุดฮ่องกงในตลาดเอเชีย เขาก็ได้ผันตัวเองเป็นนักแสดงอิสระรับงานแสดงกับทั้งทางจีนแผ่นดินใหญ่, ไต้หวันและฮ่องกงโดยมีผลงานทั้งละครและภาพยนตร์มาจนถึงปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่จะมีผลงานกับทางประเทศจีนเป็นหลัก

ระยะหลังเขามีผลงานละครกับหลายค่าย เช่น ผลงานละครกับทางค่ายเอชบีเอส (HBS) ได้แก่เรื่องเจาะเวลาตามหาหัวใจ ภาค1 (palace) และ เจาะเวลาตามหาหัวใจ ภาค2 (palace2) และในปีพ.ศ. 2558 ทังเจิ้นเยี่ย ได้กลับไปแสดงละครชุดให้กับทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี อีกครั้งหลังจากร่วม 30 ปีที่เขาได้ออกจากค่ายทีวีบีไปเพราะได้รับผลกระทบจากการเสียชีวิตของอดีตแฟนสาว องเหม่ยหลิง ในครั้งนั้น และในการกลับมาครั้งนี้เขาได้ร่วมแสดงนำเป็นเจ้าพ่อในผลงานละครเรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ เวอร์ชันใหม่ (Lord Of Shanghai) และบทบาทเจ้าพ่อในเรื่องนี้ได้ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงนำชายจอแก้วยอดเยี่ยมประจำปีอีกด้วย จากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ทำให้เขามีผลงานกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบีตามมาอีก 2 เรื่องคือ สงครามจิตวิทยา (My Dearly Sinful Mind 2017) และแผนโค่นเซียนพนัน (I Bet Your Pardon 2019)