การบุกรุกทิเบต ของ ทิเบตภายใต้การปกครองของจีน

การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของทิเบตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1949 เมื่อกลุ่มกองทหารปลดแอกประชาชนของจีนได้เข้ามาที่ทิเบตเป็นครั้งแรก หลังจากการเอาชนะกองทหารขนาดเล็กชาวทิเบตและยึดครองครึ่งหนึ่งของประเทศแล้ว รัฐบาลจีนได้กำหนด "ข้อตกลง 17 ข้อ สำหรับอิสรภาพอันสงบสุขของทิเบต" ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1951 เนื่องจากเป็นการเซนต์สัญญาตกลงกันภายใต้การข่มขู่ ข้อตกลงนี้จึงขาดความถูกต้องและเห็นชอบภายในกฎหมายระหว่างประเทศ การต่อต้านการยึดครองของจีนได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทิเบตตะวันออก เนื่องจากมีทั้งการกดขี่จากจีนรวมถึงการทำลายอาคารต่าง ๆ ทางศาสนา การจำคุกพระภิกษุและผู้นำชุมชนอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ในปี ค.ศ. 1959 ประชาชนจึงลุกขึ้นก่อจลาจลมากถึงขีดสุดอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนที่เมืองลาซา และเมื่อจีนได้ปราบปรามพวกจลาจลเหล่านี้ ชาวทิเบตประมาณ 87,000 คนได้ถูกฆ่าตายในเมืองลาซา และองค์ทะไล ลามะจึงจำต้องเดินทางออกจากทิเบตไป

ด้วยการยึดครองของจีนในทิเบต กองทัพชาวอินเดียและชาวจีน ต้องเผชิญหน้ากันบนเขตแดนของเทือกเขาหิมาลัย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สงครามที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อระหว่าง 2 ประเทศนี้ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1962 เมื่อครั้งที่ทิเบตยังมีอิสรภาพ อินเดียเคยใช้กำลังทหารเพียง 1,500 คนในการดูแลความสงบ ณ รอยต่อเขตพรมแดนกับทิเบต แต่ทุกวันนี้อินเดียได้ประมาณการใช้จ่ายไว้ถึง 550 - 650 ล้านรูปีต่อวัน ในการที่จะคุ้มกันเขตพรมแดนแห่งเดียวกันนี้จากกองทหารจีนกว่า 300,000 กอง ซึ่งตั้งอยู่ในที่ ๆ ชาวจีนเรียกว่า "เขตปกครองตนเองทิเบต" (Tibet Autonomous Region) ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ประกอบด้วยอาณาเขตของทิเบตที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกำลังถูกกลืนไปกับหลาย ๆจังหวัดของจีนในบริเวณนั้น

การทำลายล้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และศาสนา

อำนาจการยึดครองทิเบตโดยจีน ได้พยายามทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของชาวทิเบต อย่างเป็นระบบ โดยการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างต่อเนื่อง การทำลายล้างอาคารบ้านเรือน ทางศาสนา และประวัติศาสตร์ วัตถุทางศาสนาถูกทำลายและผู้นำท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ถูกทรมานและฆ่าฟัน วัดวาอารามของชาวพุทธมากว่า 6,000 แห่งได้ถูกทำลาย รูปปั้นและวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาทั้งหมด ถ้าไม่ถูกทำลายก็จะถูกขโมยไปขายทอดตลาด นโยบายของรัฐบาลจีนในลักษณะนี้มีจุดมุ่งหมายไปที่การค่อย ๆ นำมาซึ่งความตายทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวทิเบต แบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ทุกวันนี้ทิเบตกำลังอยู่ในภาวะอันตราย วัฒนธรรมและความเป็นหนึ่งของชาติทิเบต กำลังถูกทำลายอย่างเป็นระบบ และถูกแทนที่โดยความเป็นจีน อาทิเช่น

  • ตั้งแต่ปีค.ศ. 1949 ชาวทิเบตมากกว่า 1.2 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 6 ของประชากรทั้งหมดเสียชีวิต เนื่องจากการฆ่าด้วยเหตุผลทางการเมือง การถูกจองจำ การถูกทรมานและความอดอยาก
  • ศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมของทิเบตมากกว่า 6,000 แห่ง ได้ถูกทำลายลง
  • องค์ทะไล ลามะ ซึ่งเป็นผู้นำทั้งทางการเมือง ทางปัญญาและทางจิตใจของชาวทิเบตกว่า 6 ล้านคนถูกบังคับให้ลี้ภัยจากทิเบตในปี ค.ศ. 1959 สู่ประเทศอินเดีย ชาวทิเบตประมาณ 85,000 คน ได้อพยพติดตามองค์ทะไล ลามะไปในขณะนั้นเข้าสู่อินเดีย เนปาล และภูฐาน

การโยกย้ายประชากร

สิ่งน่ากลัวที่ชาวทิเบตเผชิญ ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ การไหลบ่าของพลเมืองจีนอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเข้าไปในทิเบต การไหลบ่าของประชากรซึ่งมีรากฐานความเป็นคอมมิวนิสต์โดยตรงนี้ กำลังค่อย ๆซึมซับเข้าไปในประเทศทิเบต และประชนชาวทิเบตได้เอาอย่างจีน ในขณะนี้เริ่มเห็นความแตกต่างของความเป็นชาวทิเบตในปัจจุบัน และอารยธรรมของชาวทิเบตสมัยโบราณ ซึ่งกำลังถูกครอบงำ และยังแสดงถึงจุดอันตรายของความเป็นอยู่ ที่แบ่งแยกอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทุกวันนี้ประชากรชาวทิเบต 6 ล้านคน ถูกข่มโดยจำนวนชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ 7.5 ล้านคน

ในเมืองลาซา ก่อนปี ค.ศ. 1950 แทบจะไม่มีชาวจีนอาศัยอยู่เลย แต่ทุกวันนี้สัดส่วนอย่างคร่าว ๆ ระหว่างชาวจีนและชาวทิเบตจะเป็น 3:1 ในห้างร้านจำนวน 12,827 แห่งรวมถึงร้านอาหาร มีน้อยกว่า 300 ร้านที่มีเจ้าของเป็นชาวทิเบต ในจังหวัดอัมโด ภาคตะวันออกของทิเบต ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นจังหวัดของจีนชื่อ Qinghai นั้น มีประชากรทั้งหมด 4.45 ล้านคนในปี ค.ศ. 1990 แต่มีเพียงยี่สิบเปอร์เซนต์ ที่เป็นชาวทิเบต ประชากรที่เหลือเป็นชาวจีน (ตามข้อมูลทางสถิติของจีน)

ผลจาการโยกย้ายประชากรโดยทั่วไปแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า ชาวทิเบตสูญเสีย ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองรวมทั้งวงจรของสังคม อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่รุนแรงที่สุด น่าจะเป็นความเป็นหนึ่งเดียวของชาวทิเบตในระยะยาว ที่กำลังสูญไป ซึ่งหมายถึงได้เกิดความแตกต่างของประชาชน และวัฒนธรรมขึ้นแล้ว นอกจากนี้นโยบายของจีน เกี่ยวกับการบังคับให้คุมกำเนิดของชาวทิเบต เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากเช่นกัน จนถึงขณะนี้ผู้หญิงชาวทิเบตหลายพันคน ถูกบังคับให้ทำแท้งและทำหมัน ความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ด้านความสมดุลของประชากร ทำให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในภูมิภาคนี้

การทำลายล้างสิ่งแวดล้อม

ภายใต้การปกครองของรัฐบาลจีน ได้มีการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมของทิเบตอย่างเป็นระบบ ชีวิตสัตว์ป่า ป่าไม้ แร่ธาตุ และแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้ได้เสื่อมทรามลง เนื่องจากการที่ไม่สามารถหาสิ่งที่ขาดหายไปมาทดแทนได้ และความสมดุลทางนิเวศวิทยาที่เปราะบาง กำลังถูกรบกวนอย่างรุนแรง

การวิจัยในปลายปี ค.ศ. 1985 ได้บ่งชี้ว่ามีการตัดทำลายท่อนไม้จำนวนมากมายซึ่งตีค่าได้ประมาณ 5,400 ล้านเหรียญ จากป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ในจังหวัดอัมโด ต้นไม้เกือบ 50 ล้านต้นได้ถูกโค่นลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 และที่ดินหลายล้านเอเคอร์ของพื้นที่ป่าอย่างน้อย 70% ถูกทำให้ว่างเปล่าโล่งเตียนไป เหตุการณ์ใกล้เคียงแบบนี้ได้เกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของทิเบตเช่นกัน โดยเฉพาะในทิเบตตะวันออกและทิเบตใต้ประเทศทิเบตเป็นแหล่งของแม่น้ำสายหลัก ๆ ในทวีปเอเชีย ดังนั้นการทำลายล้างป่าไม้ในทิเบตทำให้นำไปสู่การตื้นเขินของแม่น้ำเหล่านี้ เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมในประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง รวมทั้งในประเทศจีนเองด้วย ในปี ค.ศ. 1987-1988 แม่น้ำพรหมบุตร เป็นต้นเหตุของอุทกภัยในอินเดียประมาณ 35 %หรือมากกว่านี้ นอกจากนี้การทำลายป่าในทิเบต ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเสียสมดุลของลมมรสุมในฤดูฝน ทั้งนี้อาจนำมาซึ่งความหายนะของการเกษตรในอินเดียและจีนอีกด้วย

การนำทหารเข้ามาประจำ และการนำระเบิดนิวเคลียร์เข้ามาใช้

จีนได้เปลี่ยนแปลงรัฐกันชนระหว่างอินเดียและจีนไปสู่พื้นที่ทางการทหารที่กว้างใหญ่ การนำทหารเข้ามาประจำในที่ราบสูงของทิเบตนั้น มีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง ต่อความสมดุลทางภูมิศาสตร์ การเมือง การปกครอง ของประเทศในภูมิภาคนี้ และกลายเป็นต้นเหตุของ ความตึงเครียดระหว่างประเทศ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย

ทุกวันนี้ มีการปรากฏของกองทหารจีนในทิเบตถึงประมาณ 300,000 - 500,000 กองทัพ ซึ่งประมาณ 200,000 กองทัพได้ตั้งสถานีประจำอย่างถาวรอยู่ที่ใจกลางทิเบต ซึ่งใกล้เขตพรมแดนของอินเดีย มีทั้งหมด 17 สถานีที่ใช้เรดาร์อย่างลับ ๆ มี 14 สถานีที่เป็นฐานทัพอากาศ และ 5 ฐานทัพจรวดนำวิถีซึ่งอยู่ในเมือง Kongpo Nyitri, Powo Tramo, Rudok, Golmu และเมือง Nagchu ทั้งยังมีจรวดนำวิถีระดับกลางประมาณ 70 ลำและระดับกลางค่อนข้างสูง 20 ลำ ประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม และอินเดียอยู่ในชนวนวิถีของแรงระเบิดนิวเคลียร์ของจรวดนำวิถีเหล่านี้ นอกจากนั้นจีนยังใช้ทิเบตให้เป็นประโยชน์โดยการฝึกฝนการทำสงคราม เคยมีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และการทิ้งขยะนิวเคลียร์และขยะเป็นพิษจากประเทศอื่น ๆ เพื่อที่ตนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนใหญ่กลับมา

หลังจากการปราบปรามด้วยความรุนแรงของจีน ต่อการจลาจลของชาวทิเบต ที่ต่อต้านการยึดครองเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1959 องค์ทะไลลามะและคณะบุคคลในรัฐบาลทิเบต ได้หลบหนีออกไปจากประเทศ ติดตามไปด้วยประชาชนชาวทิเบตอีกราว ๆ 85,000 คน และได้แสวงหาที่หลบภัยในอินเดีย และในประเทศเพื่อนบ้านอันใกล้เคียง ในช่วงของการอาศัยอยู่ต่างถิ่น รัฐบาลทิเบต เป็นที่รู้จักในการใช้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่ กฎหมายใหม่ของชาวทิเบตพลัดถิ่นนี้ ได้ถูกปรับใช้เพื่อดูแลและปกครอง โดยองค์การบริหารของชาวทิเบตส่วนกลาง (ซึ่งเรียกว่ารัฐบาลพลัดถิ่น) องค์กรนี้ทำหน้าที่บริหารทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับชาวทิเบต และทำหน้าที่บูรณะความเป็นเอกราช และอิสระของชาวทิเบตทั้งมวล ฝ่ายบริหารส่วนกลางนี้ นำโดยองค์ทะไลลามะผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีผู้ช่วยได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งถูกเลือกจาก "ผู้แทนของกลุ่มสมัชชาประชาชนชาวทิเบตหรือ ATPD" กลุ่มนี้ได้ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลของชาวทิเบตพลัดถิ่น และสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มนี้ก็ได้ถูกเลือกโดยประชาชน

ฝ่ายบริหารส่วนกลางประกอบด้วยกรม / กอง ต่าง ๆคือ ด้านศาสนาและวัฒนธรรม ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการศึกษา ด้านการรักษาความปลอดภัย ด้านสาธารณสุข ด้านการเงินและข้อมูลข่าวสาร และท้ายสุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนอกเหนือไปจากกรม / กอง เหล่านี้แล้วยังมีฝ่ายตุลาการ ฝ่ายการตรวจเงินแผ่นดิน ฝ่ายบริหารสาธารณะ และฝ่ายจัดการการเลือกตั้ง ทั้งหมดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลข้อกำหนดในวาระพิเศษต่าง ๆของกฎหมายฉบับใหม่นี้ สำหรับชาวทิเบตที่ต้องอาศัยอยู่นอกประเทศเหล่านี้ ถือว่ารัฐบาลพลัดถิ่นที่นำโดยองค์ทะไลลามะ เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงรัฐบาลเดียวของชาวทิเบต