ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของ ที่ราบสูงโบลาเวน

ที่ราบสูงโบลาเวนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของลาว ช่วงเวลาสำคัญที่สุดสามช่วงซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวน ทำให้เกิดเอกลักษณะเฉพาะและความสำคัญ ได้แก่ การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กบฏผู้มีบุญ และสงครามเวียดนาม

อาณานิคมของฝรั่งเศส

ในปี พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสได้ผนวกดินแดนแห่งแรกทางตะวันออกของแม่น้ำโขง และต่อมาได้ผนวกดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 ช่วงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศสในลาวนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อที่ราบสูงโบลาเวนเนื่องจากเกิดการถ่ายทอดเทคนิคทางการเกษตรจากชาวฝรั่งเศสสู่ชาวพื้นเมืองลาว จากพจนานุกรมประวัติศาสตร์ (เขียนโดย Martin Stuart-Fox) ระบุว่า "ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มปลูกกาแฟและทดลองปลูกยางพาราบนที่ราบสูงโบลาเวน และต่อมายังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญของลาว โดยเฉพาะการปลูกผักและผลไม้นานาชนิดรวมทั้งพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้สูง"[1] ที้งนี้การเพาะปลูกพืชดังกล่าวไม่เคยมีในพื้นที่นี้มาก่อนจนกระทั่งชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาแนะนำในภูมิภาคนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนกลายเป็นพื้นที่ภาคเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศลาว

กบฏผู้มีบุญ

ช่วงที่สองที่ช่วยกำหนดประวัติศาสตร์ของที่ราบสูงคือการ กบฏผู้มีบุญ การก่อจลาจลปะทุขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2444 ถึง 2450 ซึ่งเป็นการก่อกบฏครั้งใหญ่ของชนเผ่าลาวเทิง (Alak, Nyaheun และ Laven) เพื่อต่อต้านการครอบงำของฝรั่งเศส[1] แม้ว่าไม่มีการจดบันทึกหรือบทประพันธ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่กล่าวเฉพาะการปฏิวัตินี้ในที่ราบสูงโบลาเวน แต่การก่อตัวของกบฏผู้มีบุญแจ้งชัดว่าชุมชนพื้นเมืองต้องการต่อต้านอิทธิพลและอำนาจของฝรั่งเศสออกจากพื้นที่

สงครามเวียดนาม

ที่ราบสูงโบลาเวนได้รับความเสียหายอย่างมากในช่วงสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดใน สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง การทิ้งระเบิดของสหรัฐอย่างหนักหน่วงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อควบคุมที่ราบสูงโบลาเวนซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งทั้งต่อกองทัพอเมริกันและเวียดนามเหนือ ปรากฏหลักฐานจากจำนวน UXO (อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิด) ซึ่งยังคงหลงเหลือเป็นจำนวนมากอยู่รอบ ๆ พื้นที่[2] ด้วยเหตุนี้ที่ราบสูงโบลาเวนยังคงเป็นพื้นที่อันตรายโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจทำเครื่องหมาย ตามรายงานหลายฉบับความเสียหายที่เกิดจากระเบิดที่หลงเหลือเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้ในบางพื้นที่

ในด้านตะวันออกของที่ราบสูงโบลาเวนเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ผ่านของเส้นทางโฮจิมินห์ ในช่วงสงครามที่ราบสูงนี้สามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ผ่านปากซองและธาเต็ง และถนนเหล่านั้นเป็นถนนสายเดียวที่นำออกจากที่ราบสูงที่ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวและให้ความสนใจต่อภูมิประวัติศาสตร์ในพื้นที่นี้มากขึ้น [3]