ท่าเทียบเรือวาลงกู (
โปรตุเกส: Cais do Valongo) เป็นท่าเรือเก่าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่
ท่าเรือรีโอเดจาเนโร ระหว่างถนนกูเวลยู อี กัสตรู กับถนนซากาดูรา กาบรัล ในปัจจุบัน
[1]ท่าเทียบเรือนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1811 และใช้เป็นสถานที่จอดเรือและค้า
ทาสชาว
แอฟริกาจนกระทั่ง ค.ศ. 1831 เมื่อมี
การปิดล้อมแอฟริกาโดยห้ามการส่งทาสข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติกมายัง
บราซิล (แต่การลักลอบค้าทาสยังคงดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1888)
[2] ตลอดช่วงยี่สิบปีของการเปิดทำการ มีทาสจำนวนระหว่าง 500,000–1,000,000 คนขึ้นฝั่งที่วาลงกู บราซิลได้รับทาสประมาณ 4,900,000 คนจากการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
[3]ใน ค.ศ. 1843 มีการสร้างเขื่อนท่าเทียบเรือใหม่ทับบนท่าเทียบเรือวาลงกูเพื่อรับเสด็จ
เจ้าหญิงเตเรซา กริสตีนาแห่งบูร์บง-ซิซิลีทั้งสองซึ่งจะทรงเสกสมรสกับ
จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล ท่าเทียบเรือนี้มีชื่อเรียกว่า "ท่าเทียบเรือจักรพรรดินี" (Cais da Imperatriz)
[4] แต่ในที่สุดท่าเทียบเรือก็ถูกถมระหว่างการปรับปรุงเมืองใน ค.ศ. 1911
[4][5]ระหว่างการขุดเจาะพื้นที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฟื้นฟูบริเวณท่าเรือรีโอเดจาเนโรใน ค.ศ. 2011 ได้มีการค้นพบท่าเทียบเรือจักรพรรดินีและท่าเทียบเรือวาลงกูพร้อมกับเครื่องรางและวัตถุบูชาจำนวนมากจาก
คองโก แองโกลา และ
โมซัมบิก[5][6] สถาบันมรดกทางประวัติศาสตร์และศิลปะแห่งชาติบราซิลและนครรีโอเดจาเนโรบรรจุชื่อแหล่งโบราณคดีท่าเรือวาลงกูไว้ในรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาเป็น
แหล่งมรดกโลกของ
ยูเนสโก[4][7][8] จากนั้นยูเนสโกก็ขึ้นทะเบียนแหล่งโบราณคดีดังกล่าวเป็นแหล่งมรดกโลกอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2017
[9]ในช่วง ค.ศ. 1850 ถึง ค.ศ. 1920 บริเวณรอบ ๆ ท่าเทียบเรือเก่ากลายเป็นพื้นที่ที่ทาสผิวดำหรืออิสรชนจากชาติต่าง ๆ เข้าครอบครอง
เอย์โตร์ ดุส ปราเซริส นักร้องและจิตรกรชาวบราซิล ขนานนามพื้นที่นี้ว่า "แอฟริกาน้อย" (Pequena África)
[5]