ลักษณะ ของ นกแคสโซแวรี

จัดเป็นนกประเภทแรไทต์ (นกบินไม่ได้ขนาดใหญ่ ที่มีโครงสร้างแบบนกยุคก่อนประวัติศาสตร์) เช่นเดียวกับนกกระจอกเทศ, นกอีมู และนกกีวี โดยเป็นนกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองมาจากนกกระจอกเทศ และนกอีมูเท่านั้น มีความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร หรือกว่านั้น ตัวเมียโดยปกติจะใหญ่กว่าตัวผู้ อาจจะสูงได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 53.8 กิโลกรัม[3]

นกแคสโซแวรีมีลักษณะเด่นคือ มีขนสีดำปกคลุมลำตัว ซึ่งขนมีลักษณะแตกต่างไปจากนกจำพวกอื่น ๆ คือ ขนเส้นเดียวแต่แตกออกเป็น 2 เส้น มีไว้สำหรับป้องกันตัวยามเมื่อต้องเดินฝ่าพงหนามหรือพุ่มไม้ มีลำคอยาวไม่มีขนเหมือนนกกระจอกเทศ บริเวณใบหน้าและลำคอมีสีสันสดใสต่างกันไปตามแต่ละชนิด และมีจุดเด่น คือ หงอนขนาดใหญ่บนหัว ซึ่งเป็นสารประกอบเคอราทิน ภายในเป็นโพรงกลวง ปัจจุบันยังไม่มีทราบถึงสาเหตุการมีของหงอนนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อช่วยในการส่งเสียงร้อง แบบเดียวกับไดโนเสาร์บางสกุลที่มีหงอนบนหัว เช่น พาราซอโรโลฟัส หรือแลมบีโอซอรัส เสียงที่ได้จะเป็นเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งนกแคสโซแวรีจัดเป็นนกที่มีเสียงร้องต่ำที่สุดในโลก และยังมีเหตุผลนอกเหนือไปจากนี้ คือ ใช้ในการประกาศเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือเป็นการแสดงออกทางเพศ นกแคสโซแวรีในวัยอ่อน หงอนดังกล่าวจะยังไม่ปรากฏ แต่จะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อนกโตขึ้นตามวัย ซึ่งหงอนดังกล่าวสามารถยาวได้ถึง 15-17 เซนติเมตร[3][4]

นิ้วตีนของนกแคสโซแวรี มี 3 นิ้ว แตกต่างไปจากแรไทต์อย่างนกกระจอกเทศที่มี 2 นิ้ว ทุกนิ้วมีกรงเล็บที่แหลมคม โดยเฉพาะนิ้วกลางที่ยื่นยาวที่สุด ซึ่งยาวได้ถึง 5 นิ้ว (12 เซนติเมตร) เป็นอาวุธที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวด้วยการกระโดดถีบ ด้วยความแรง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[4]

การกระจายพันธุ์และการแพร่พันธุ์

นกแคสโซแวรีกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นของเกาะนิวกินีและบางส่วนของออสเตรเลีย เช่น รัฐควีนส์แลนด์ เป็นนกที่หากินตามลำพัง อาหารตามปกติได้แก่ ผลไม้, ลูกไม้ต่าง ๆ ที่ตกหล่นบนพื้นหรือขึ้นตามพุ่มเตี้ย ๆ, เห็ดรา และสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ด้วย เช่น สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ๆ รวมถึงซากสัตว์ เวลาในการออกหากินอยู่ในช่วงโพล้เพล้ทั้งในตอนเช้ามืดและตอนเย็น[5][4]

มีฤดูผสมพันธุ์ราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายตามหาตัวเมีย หลังจากจับคู่กันได้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะผสมพันธุ์กัน หลังจากผสมพันธุ์แล้ว นกตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 5-6 ฟอง บนพื้นดินในรังที่ตัวผู้สร้างไว้จากใบไม้ต่าง ๆ เปลือกไข่สีเขียวเข้มหรือสีเขียวอ่อน เสร็จแล้วจะจากไป ปล่อยให้นกตัวผู้เป็นฝ่ายกกไข่และเลี้ยงดูลูกนกที่ฟักออกมา นกตัวเมียจะผสมพันธุ์กับตัวผู้หลายตัวโดยมีรัศมีการหาคู่กว้างประมาณ 7 กิโลเมตร ตัวผู้ใช้เวลาฟักประมาณ 50-52 วัน ลูกนกที่เกิดมาใหม่จะมีขนสีน้ำตาล สีสันไม่สดใส และยังไม่มีหงอน ตัวผู้ใช้เวลาเลี้ยงลูกนานประมาณ 9 เดือน ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปหากินตามอิสระ มีอายุขัยได้ถึง 50 ปี หรือมากกว่านั้นในที่เลี้ยง แต่อายุโดยเฉลี่ยในป่าเพียง 12-19 ปี เท่านั้น[3][4]