ประวัติ ของ บิวอิคก์

ยุคแรกเริ่ม

บิวอิคก์เป้นยี่ห้อรถยนต์อเมริกันที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงอยู่ และเป็นหนึ่งในยี่ห้อรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอีกด้วย บิวอิคก์ก่อตั้งภายใต้ชื่อ บริษัท บิวอิคก์ ออโต้-วิม แอนด์ เพาเวอร์ ในปี ค.ศ. 1899 โดยเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์ ภายหลังบริษัทถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นบริษัท บิวอิคก์มอเตอร์ ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1903 โดย เดวิด ดันบาร์ บิวอิคก์ ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ต่อมาในปีนั้น เจมส์ เอช. ไวติง ได้ซื้อบริษัทไป ย้ายบริษัทไปที่ เมืองฟลินต์ รัฐมิชิแกน บ้านเกิดของเขา แล้วให้ วิลเลียม ซี. ดูแรนต์ มาดูแลบริษัทของเขาแทน ส่วน เดวิด บิวอิคก์ นั้นขายหุ้นทั้งหมดเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย แล้วเสียชีวิตในอีก 25 ปีต่อมา

บิวอิคก์ในยุคแรกเริ่ม

  • หลุยส์ เชฟโรเลต์ กำลังขับรถบิวอิคก์ บั๊ก ในการแข่งขันถ้วยแฟนเดอร์บิลท์ ในปี ค.ศ. 1910

  • รถแข่งบิวอิคก์ บั๊ก
    ปี ค.ศ. 1910 และยานเจาะเกราะ เอ็ม 18 บิวอิคก์ เฮลแคท ปี ค.ศ. 1944

  • รถบิวอิคก์ โมเดล 17
    ปี ค.ศ. 1910 ที่บริษัท แรนดัลล์-ดอดด์ ออโต้ ซอลต์เลกซิตี

  • รถบิวอิคก์ ทัวริง 5 ที่นั่ง
    ปี ค.ศ. 1914

  • รถบิวอิคก์ ปี ค.ศ. 1932

  • รถบิวอิคก์เปิดประทุน 4 ประตู ปี ค.ศ. 1937

ระหว่างปี ค.ศ. 1899 และ ค.ศ. 1902 นั้น วอลเทอร์ ลอเรนโซ มารร์ ได้สร้างรถต้นแบบสองคันที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน มีเอกสารของรถต้นแบบปี ค.ศ. 1901 หรือ ค.ศ. 1902 ที่มีการบังคับคล้ายกับด้ามของหางเสือเรือนั้นคล้ายกับรถโอลด์สโมบิล เคิร์ฟด์ แดช ในกลางปี ค.ศ. 1904 รถต้นแบบอีกคันถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบความทนทาน ซึ่งโน้มน้าวให้เจมส์ เอช. ไวติง เริ่มต้นการผลิตรถเพื่อขายให้กับประชาชนทั่วไป สถาปัตยกรรมของรถต้นแบบคันนี้ถูกใช้เป็นพื้นฐานของรถบิวอิคก์ โมเดลบี รถยนต์คันแรกของบิวอิคก์

บิวอิคก์ โมเดลบี รถยนต์คันแรกของบิวอิคก์ที่ผลิตมาเพื่อขายให้กับผู้คนทั่วไปนั้น ถูกประกอบขึ้นที่เมืองฟลินต์ รัฐมิชิแกน ในปี ค.ศ. 1904 ในปีแรกของการผลิตนั้น บิวอิคก์ได้ผลิตรถยนต์ได้เพียง 37 คัน โดยที่ไม่มีคันไหนสามารถรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ยังมีรถจำลองสองคันที่ยังมีอยู่ นั่นก็คือรถต้นแบบที่ใช้ทดสอบความทนทาน ปี ค.ศ. 1904 ถูกจัดแสดงไว้ที่ศูนย์วิจัยและจัดแสดงรถยนต์บิวอิคก์ที่เมืองฟลินต์ และรถโมเดลบีที่ถูกประกอบขึ้นใหม่โดยผู้ที่คลั่งไคล้รถยนต์บิวอิคก์ในรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อการฉลองครบรอบ 100 ปี ของบิวอิคก์ รถทั้งสองคันนี้ถูกประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนจากรถยนต์บิวอิคก์ในสมัยนั้น รวมถึงใช้ชิ้นส่วนทดแทนที่ผลิตขึ้นมาใหม่อีกด้วย รถแต่ละคันใช้เครื่องยนต์บิวอิคก์ดั้งเดิมที่รอดมาได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในช่วงแรก บิวอิคก์ถูกผลิตมาเพื่อจำลองห้องรับแขกบนรถยนต์ จึงถูกให้ฉายาว่า "เก้าอี้ยาวเคลื่อนที่แห่งอเมริกา" (อังกฤษ: "moving couch of America")

ระบบส่งกำลังและโครงรถยนต์ของโมเดลบีถูกใช้อย่างต่อเนื่องไปจนถึงบิวอิคก์ โมเดลเอฟ ปี ค.ศ. 1909 ความสำเร็จในช่วงแรกของบิวอิคก์นั้นเกิดจากการใช้เครื่องยนต์ระบบลิ้นเหนือสูบ ซึ่งถูกจดสิทธิบัตรโดยยูจีน ริชาร์ด และพัฒนาโดยเดวิด บิวอิคก์ รถบิวอิคก์ โมเดลเอฟนั้นใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ ช่วงล้อ 87 นิ้ว และหนัก 1,800 ปอนด์ ความประสบผลสำเร็จของรถยนต์บิวอิคก์นั้นมีส่วนในการก่อตั้งของเจเนรัลมอเตอร์ จึงสามารถกล่าวได้ว่าแบบรถยนต์ของวอลเทอร์ มารร์ และยูจีน ริชาร์ด นั้นก่อให้เกิดบริษัทจีเอ็มขึ้นมา

การออกแบบของรถบิวอิคก์ปี ค.ศ. 1904 นั้นนับได้ว่าเป็นที่น่าพอใจแม้เทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน เครื่องยนต์สูบนอน 2 สูบถูกจัดไว้อย่างสมดุล โดยมีแรงบิดต่อตัวรถในแบบตามยาว ทำให้แรงยกที่หน้ารถหายไป แทนที่จะเกิดแรงเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องการทางด้านข้างของตัวรถ เครื่องยนต์ถูกจัดวางไว้ตรงกลางห้องเครื่อง ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดตามความคิดของผู้คนปัจจุบัน

วิลเลียม ดูแรนต์ ผู้มีทักษะการส่งเสริมโดยกำเนิด ได้พัฒนาบิวอิคก์จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา จากเงินกำไรที่ได้จากการขายรถยนต์บิวอิคก์ วิลเลียม ดูแรนต์ได้เริ่มดำเนินการควบรวมบริษัทต่าง ๆ ที่เขาได้มาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แล้วตั้งชื่อบริษัทใหม่ของเขาว่าเจเนรัลมอเตอร์ ตอนแรก บริษัทลูกของจีเอ็มนั้นแข่งขันกันเอง วิลเลียม ดูแรนต์ ได้ยกเลิกระบบนั้น แล้วเปลี่ยนเป็นการจัดเรียงบริษัทลูกตามความต้องการของผู้คนในแต่ละชนชั้นแทน ในระบบใหม่นี้ บิวอิคก์อยู่เกือบบนสุด โดยมีเพียงคาดิลแลคที่มีเกียรติภูมิสูงกว่า บิวอิคก์ยังรักษาตำแหน่งเดิมในจีเอ็มจนถึงทุกวันนี้ กลุ่มลูกค้าที่บิวอิคก์มุ่งหมายไว้เป็นผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถซื้อรถคาดิลแลคได้ หรือเป็นผู้ที่ไม่ชอบความโอ่อ่าของรถคาดิลแลคแต่ต้องการสิ่งที่เหนือกว่ารถทั่วไป

บิวอิคก์ได้เริ่มเข้าร่วมการแข่งรถในปี ค.ศ. 1909 แล้วชนะในการแข่งขันวันแรกที่อินเดียแนโพลิสมอเตอร์สปีดเวย์

ในปี ค.ศ. 1911 บิวอิคก์ได้แนะนำรถยนต์แบบตัวรถปิดหมด ซึ่งล้ำหน้าฟอร์ดไป 4 ปี ในปี ค.ศ. 1929 บิวอิคก์ได้เปิดตัวยี่ห้อพี่น้อง ชื่อ มาร์เควตต์ เพื่อเติมเต็มช่องโหว่ของราคาระหว่างบิวอิคก์กับโอลด์สโมบิล เนื่องด้วยแผนงานยี่ห้อสหายของเจเนรัลมอเตอร์ อย่างไรก็ตาม รถมาร์เควตต์ก็ถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ. 1930 รถบิวอิคก์ปี ค.ศ. 1931 ทุกคันนั้นใช้เครื่องยนต์บิวอิคก์สูบแถวเรียง 8 สูบแบบลิ้นเหนือสูบและการส่งกำลังแบบประสานกันยกเว้นรุ่นซีรีส์ 50 เครื่องยนต์นี้มีสามความจุให้เลือก ขนาด 220 ลูกบาศก์นิ้ว 77 แรงม้าเพลา มาพร้อมกับรุ่นซีรีส์ 50 ขนาด 272 ลูกบาศก์นิ้ว 90 แรงม้าเพลา มาพร้อมกับรุ่นซีรีส์ 60 ส่วนรุ่นซีรีส์ 80 และ 90 นั้นใช้ขนาด 344 ลูกบาศก์นิ้ว 104 แรงม้าเพลา คันเร่งไฟที่อยู่บนแกนพวงมาลัยถูกแทนที่ด้วยกลไกเร่งไฟสุญญากาศอัตโนมัติ แม้ว่าคันงัดฉุกเฉินถูกติดตั้งไว้บนแผงหน้าปัดแล้ว ในปี ค.ศ. 1939 บิวอิคก์เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เริ่มทำสัญญาณไฟเลี้ยว รถบิวอิคก์ปี ค.ศ. 1939 ทุกคันมีคันเกียร์ติดตั้งไว้บนแกนพวงมาลัย

ในคริสต์ทศวรรษ 1930 รถยนต์บิวอิคก์เป็นที่นิยมมากในราชวงศ์อังกฤษ โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 พระองค์ได้ทรงนำเข้าและใช้รถยนต์แมคลาฟลิน-บิวอิคก์ ซึ่งเป็นยี่ห้อระดับสูงสุดของจีเอ็มในแคนาดาในสมัยนั้น พระองค์ได้ใช้รถแมคลาฟลิน-บิวอิคก์ เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวไปตามแนวชายฝั่งของแคนาดาในปี ค.ศ. 1939

ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

คริสต์ทศวรรษ 1940 - 1970

คริสต์ทศวรรษ 1940

คริสต์ทศวรรษ 1950

  • ค.ศ. 1953 — บิวอิคก์ครบรอบ 50 ปี และการเปิดตัวเครื่องยนต์บิวอิคก์สูบวี 8 สูบและรถบิวอิคก์ โรดมาสเตอร์ สกายลาร์ค
  • ค.ศ. 1955 — บิวอิคก์ทำยอดขายที่ดีที่สุดในสมัยนั้นด้วยยอดขาย 738,814 คัน
  • ค.ศ. 1957 — เปลี่ยนเสื้อสูบเป็นแบบใหม่ให้กับเครื่องยนต์ขนาด 364 ลูกบาศก์นิ้ว เปิดตัวระบบรองรับล้อหน้าแบบใช้ลูกหมาก ดุมเบรกของรถบิวอิคก์ โรดมาสเตอร์มีครีบอะลูมิเนียมเพิ่มเข้าไป
  • ค.ศ. 1959 — เปิดตัวรถบิวอิคก์ อิเล็กตรา อินวิคตา และเลอเซเบอร์ และเครื่องยนต์สูบวี 8 สูบขนาด 401 ลูกบาศก์นิ้ว (ถูกใช้ในรถอิเล็กตราและอินวิคตา)

คริสต์ทศวรรษ 1960

คริสต์ทศวรรษ 1970

คริสต์ทศวรรษ 1980 - 1990

คริสต์ทศวรรษ 1980

คริสต์ทศวรรษ 1990

  • ค.ศ. 1990 — รถริอัตตาเปิดประทุนถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก
  • ค.ศ. 1991 — รถบิวอิคก์ พาร์ค แอฟวะนิวแยกตัวออกมาเป็นรุ่นของมันเอง รถบิวอิคก์ โรดมาสเตอร์ถูกผลิตขึ้นอีกครั้งหลังจากที่หายไป 33 ปี
  • ค.ศ. 1999 — รถริเวียรา ซิลเวอร์ แอร์โรว์ถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพื่อเฉลิมฉลองรถต้นแบบคันเดิมจากปี ค.ศ. 1963

คริสต์ทศวรรษ 2000 — 2010

บิวอิคก์ในยุคคริสต์ทศวรรษ 2000 — 2010

หลังเวลาผ่านไป จำนวนรุ่นรถยนต์บิวอิคก์ลดลง ทั้งรถยนต์ขนาดเล็กและรถยนต์สมรรถนะสูงก็ถูกทอดทิ้งไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม บิวอิคก์ก็ยังคงรถยนต์รุ่นเซนจูรี รีกัล เลอเซเบอร์ และพาร์ค แอฟวะนิว ซึ่งเป็นรุ่นดั้งเดิมไว้ ในปี ค.ศ. 2001 บิวอิคก์ได้เปิดตัวรถบิวอิคก์ รานดะวู เอสยูวีคันแรกของบิวอิคก์ โดยมีไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟชื่อดังเป็นโฆษก

ในปี ค.ศ. 2003 บิวอิคก์ได้สร้างรถต้นแบบ บิวอิคก์ ซ็องเทียม เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของบิวอิคก์

ในปี ค.ศ. 2005 บิวอิคก์ได้ทำการรวบรวมรุ่นต่าง ๆ ของมันเข้าด้วยกันจนเหลือเพียง 3 รุ่น นั่นก็คือ บิวอิคก์ ละครอส ลูเซิร์น และอ็องเคลฟ แม้ว่ายอดขายโดยรวมก็ยังคงตกลงเรื่อย ๆ ความประสบผลสำเร็จของรุ่นพวกนี้สามารถรับรองได้ว่าจีเอ็มจะยังคงเก็บยี่ห้อบิวอิคก์ไว้ต่อไป

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 นั้น จีเอ็มได้ค่อย ๆ รวมยี่ห้อบิวอิคก์เข้ากับตัวแทนจำหน่ายรถจีเอ็มซีและพอนทิแอค (ในเมื่อก่อน) เพื่อสร้างเครือข่ายบิวอิคก์-จีเอ็มซีในปัจจุบัน ในช่วงแผนฟื้นฟูของจีเอ็มและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและเมื่อปี ค.ศ. 2009 จีเอ็มได้แต่งตั้งบิวอิคก์เป็นหนึ่งใน "ยี่ห้อหลัก" โดยอ้างถึงความสำเร็จของบิวอิคก์ในจีน จีเอ็มได้เริ่มย้ายผลิตภัณฑ์ของยี่ห้ออื่นมาให้บิวอิคก์ เช่นรถโอเปิล อินซิกเนียแต่เดิมจะมาเป็นรถแซทเทิร์น ออรารุ่นที่ 2 แต่ภายหลังกลับกลายเป็นรถบิวอิคก์ รีกัลรุ่นใหม่แทน

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 บิวอิคก์ได้เปิดตัวรถบิวอิคก์ ละครอสรุ่นใหม่ โดยมีทั้งการออกแบบแนวใหม่กับแบบดั้งเดิมผสมผสานกันอยู่ ซึ่งรถยนต์คันนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด และถูกนำไปเปรียบเทียบกับรถยนต์หรูคันอื่นเช่นรถเล็กซัส อีเอส ในผลวิจัยความน่าเชื่อถือรถยนต์ของเจ. ดี. เพาเวอร์และคณะ ปี ค.ศ. 2009 บิวอิคก์เทียบเท่าจากัวร์ในการเป็นยี่ห้อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ในปี ค.ศ. 2010 บิวอิคก์ได้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดและสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยได้ รถบิวอิคก์ รีกัลรุ่นใหม่ซึ่งคล้ายรถโอเปิล อินซิกเนียจากยุโรป ถูกเปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 หลังจากที่หายไป 7 ปี

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011 รถบิวอิคก์ ลูเซิร์นถูกยกเลิกหลังจากที่ถูกผลิตมา 6 ปี หลายเดือนต่อมา บิวอิคก์ได้เปิดตัวรถบิวอิคก์ เวอราโน นอกจากนี้ รถบิวอิคก์ รีกัล จีเอสก็ถูกผลิตขายอีกครั้งและกลายเป็นรถยนต์บิวอิคก์คันแรกที่มีทั้งระบบส่งกำลังแบบธรรมดาและตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบในรอบกว่า 20 ปี ในปี ค.ศ. 2012 บิวอิคก์ได้เริ่มเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฮบริดหลังจากที่เสริมเทคโนโลยีอีอะซิสท์ (อังกฤษ: eAssist technology) บนรถบิวอิคก์ ละครอสและรีกัลรุ่นปี ค.ศ. 2012 ซึ่งทำให้ค่าประเมินประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสูงกว่ารุ่นที่ใช้น้ำมันถึง 38% ในขณะเดียวกัน ยอดขายของรถอ็องเคลฟก็ยังคงสูงอยู่

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012 บิวอิคก์ได้เปิดตัวรถมินิครอสโอเวอร์ บิวอิคก์ อ็องคอร์ ที่งานแสดงรถยนต์ทวีปอเมริกาเหนือในเมืองดีทรอยต์ ในปีเดียวกัน บิวอิคก์ได้นำเสนอรถบิวอิคก์ เวอราโนแบบที่มีระบบขับเคลื่อนแบบเทอร์โบและรถบิวอิคก์ อ็องเคลฟก็ถูกออกแบบใหม่สำหรับรุ่นปี ค.ศ. 2013

ณ ตอนนี้ (ค.ศ. 2013) รถยนต์บิวอิคก์ในทวีปอเมริกาเหนือทั้งหมดประกอบไปด้วยรถบิวอิคก์ อ็องคอร์ (รถมินิครอสโอเวอร์) บิวอิคก์ เวอราโน (รถซีดานขนาดเล็กระดับเริ่มต้น) บิวอิคก์ รักัล (รถซีดานสมรรถนะสูงขนาดกลาง) บิวอิคก์ ละครอส (รถซีดานขนาดกลาง) และบิวอิคก์ อ็องเคลฟ (รถครอสโอเวอร์หรูหราขนาดใหญ่)

โฆษกประจำบริษัทจีเอ็มได้กล่าวว่าบิวอิคก์นั้นถูกจัดวางไว้เป็นยี่ห้อหรูหราระดับต้นเพื่อแข่งขันกับแอคิวรา เล็กซัส และวอลโว่ ในขณะที่คาดิลแลคมุ่งหมายไปยังกลุ่มรถหรูหราสมรรถนะสูง โดยมีคู่แข่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยูและเมอร์เซเดส-เบนซ์ แม้ว่ารถบิวอิคก์ ละครอสและรีกีลจะใช้แพลตฟอร์มเอปไซลอน II เหมือนกัน แต่รถละครอสที่หรูหรากว่าจะต้องสู้กับรถเล็กซัส อีเอส 350 และแอคิวรา ทีแอลในตลาด ในขณะที่คู่แข่งของรถรีกัลคือรถแอคิวรา ทีเอสเอ็กซ์ และโฟล์กสวาเกน ซีซี

ในปี ค.ศ. 2013 จีเอ็มได้ยืนยันแผนการสร้าง "ยี่ห้อลูกผสมจากทั่วโลก" (อังกฤษ: "hybrid global brand") โดยจะให้รถโอเปิล/วอกซ์ฮอลล์และบิวอิคก์ใช้แบบรถร่วมกันมากขึ้น

ยุคปัจจุบัน

บิวอิคก์ในยุคปัจจุบัน