ประวัติ ของ บีจีส์

สามพี่น้องตระกูลกิบบ์ส "มอริซ, โรบิน, แบร์รี" ทั้งสามคนเกิดที่เกาะมาน ประเทศอังกฤษ โดย มอริซและโรบินเป็นฝาแฝดกัน ปี 2498 สามพี่น้องกิบบ์ เริ่มโตพอที่จะออกตระเวนโชว์ความสามารถตามงานเทศกาล และรายการโทรทัศน์ต่างๆ โดยในช่วงนี้พี่น้องกิบบ์ใช้ชื่อวงหลายชื่ออาทิ “บูลแคตส์” และ “แร็ตเทิ้ล สเน็กส์” จนปี 2501 ต่อมาย้ายไปพำนักในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับตั้งชื่อวงใหม่ว่า บีจีส์ (Bee Gees) ซึ่งย่อมาจากคำเต็ม ซึ่งคิดขึ้นจากดีเจวิทยุ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) จากการนำชื่อย่อของเขาเอง และของ บิลล์ กู๊ด (Bill Goode) (ที่เห็นพวกเขาแสดงที่ Speedway Circuit เมืองบริสเบน) -นำมารวมกัน- ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งจำเพาะเจาะจงหมายถึง "Brothers Gibb"ตามความเข้าใจกันส่วนใหญ่

ค.ศ. 1962 บีจีส์เซ็นสัญญาทำอัลบั้มชุดแรก “เดอะ บีจีส์ ซิง แอนด์ เพลย์ 14 แบร์รี่ ซองส์” กับสังกัด“เฟสทีฟเร็กคอร์ด” แต่ไม่ประสบความสำเร็จในออสเตรเลีย ทำให้พี่น้องกิบบ์ตัดสินใจไปประเทศอังกฤษ (แต่ภายหลัง เพลง Spicks and Specks กลับได้ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งในหนังสือพิมพ์เพลง โก-เซ็ต ของออสเตรเลีย ในเดือน ตุลาคม ค.ศ. 1966 ) ต่อมาใน ค.ศ. 1966 ในยุคที่เดอะ บีทเทิลส์โด่งดังเป็นอันมาก พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ “โรเบิร์ต สติกวู้ด” จนมีผลงานชุด “นิวยอร์กไมนิ่ง ดิสแอสเตอร์ 1941” ออกวางตลาดกลาง ค.ศ. 1967 อัลบั้มชุดนี้ติดอันดับบนชาร์ตเพลงยอดนิยมทั้งในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “ทูเลิฟซัมบอดี” และมีเพลงฮิตอื่นอย่าง “ฮอลิเดย์” มีเพลง "Word"ออกมาเป็นซิงเกิลฮิตในขณะนั้นด้วยแต่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม "Bee Gees First" ชุดต่อมา "Horizontal" มีเพลงฮิตคือ "Massachusetts" และ "World" ชุดต่อมาก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นกันก็คือ "Idea" มีเพลงฮิตอย่าง "I Started a Joke" และ "I've Gotta Get a Message to You" ส่วนอีกชุดต่อมา "Odessa"ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แล้ว โรบิน ก็ออกจากวงไปทำงานเดี่ยว เหลือแต่ แบรรี่กับมอริซ ในชุด "Cucumble castle" แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกันจนต้องยุบวง "The Bee Gees" ลงไป ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะกลับมารวมตัวกันใหม่ใน ค.ศ. 1970 ในอัลบั้ม " Two years on" แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกันในช่วงที่ยุบวง มอริซเข้าไปหลงใหลในแวดวงสังคมคนดัง กับศิลปินซุปเปอร์สตาร์ยุคนั้น เช่น เดอะ บีทเทิ้ลส์,เดวิด โบวี่ และไมเคิล เคน มอริซได้สมรสกับ “ลูลู่” นักร้องเพลงป็อปชื่อดังที่วิวาห์กันใน ค.ศ. 1967 แต่ชีวิตคู่ก็ต้องพังทลายในปี ค.ศ. 1974 จนมาแต่งงานครั้งที่สองกับ “อีวอน สเปนเซอร์ลีย์” โรคติดเหล้าของมอริซจึงดีขึ้น มอริซกลับมาดื่มหนักอีกครั้ง เมื่อแอนดี้น้องชายคนเล็กเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1988 เพราะเสพยาเกินขนาด "The Bee Gees" ได้สร้างเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเพลงของบีจีส์คือ เป็นเพลงป็อปเน้นเสียงประสานด้วยเสียงหลอกบีบเสียงให้สูงผิดธรรมชาติหรือที่ เรียกว่า “ฟอลเซตโต” เริ่มในช่วงปี ค.ศ.1975 กับอัลบั้มที่ชื่อว่า "Main Course" ซึ่งประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก ชุดต่อมา "Children of the World" ก็ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากเช่นกัน

ในยุคสมัยดนตรีดิสโก้เฟื่องฟู ชื่อเสียงบีจีส์ขจรขจายไปทั่วโลก ภายหลังปล่อยอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ “แซตเทอร์เดย์ไนต์ฟีเวอร์” ที่มีจอห์น ทราโวตา แสดงนำประกอบด้วยเพลง “มอร์แดนอะวูแมน”“สเตอิ้ง อะไลฟ์” “ไจฟ์ ทอล์กกิ้น” ความสำเร็จได้รับการตอกย้ำด้วยอัลบั้ม “สปิริตส์แฮฟวิ่งโฟลว” ปี 2522 ซึ่งมีเพลงอันดับ 1 อย่าง เพลง “ทราจีดี้” ,“ทูมัชเฮฟเวน” และ“เลิฟยูอินไซด์เอาต์” จากนี้เองได้สร้างสถิติทำให้บีจีส์มีเพลงอันดับ 1 ในอเมริกาติดต่อกัน 6 เพลง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาร์ทเพลงอเมริกา (ซึ่งต่อมาวิทนีย์ ฮูสตันทำได้อีกครั้ง) อัลบั้มชุดนี้ทำยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก แต่เมื่อยุคดิสโก้ถึงคราวดับสูญในคริสต์ทศวรรษที่ 1980 แนวดนตรียุคนั้นก็เข้าสู่กระแสของ “พังก์ร็อกและนิวเวฟ” ชื่อเสียงของบีจีส์ก็เงียบตามไปด้วย แต่ก็มีเพลงฮิตบนเกาะอังกฤษในปี พ.ศ. 2530 กับเพลง “ยูวินอะเกน” จากอัลบั้ม อี.เอส.พี. บีจีส์ ประคับประคองชื่อเสียงแบบเสมอตัวได้ต่อมาอีก 10 ปี และออกอัลบั้ม “Still Waters” ค.ศ. 1997 ซึ่งมีเพลงดังอย่าง “อะโลน” และมีอัลบั้มสตูดิโอชุดท้ายชื่อ "This is where i came in" ในปี ค.ศ.2001 เนื้อเพลง "The Bee Gees" จะเน้นบทเพลงในด้านความรัก และจะมีมุมมองแปลกๆจากบทเพลงที่พวกเขาได้แต่งขึ้น