งานทางดนตรีและการแสดง ของ บียอนเซ่_โนวส์

1997-2001: ช่วงของเดสทินีส์ไชลด์

ดูบทความหลักที่: เดสทินีส์ไชลด์

ด้วยแรงจูงใจจากพระธรรมอิสยาห์วงนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อวงเป็นเดสทินีส์ไชลด์ในปี ค.ศ. 1993[13] เดสทินีส์ไชลด์ได้รับงานโชว์ตามงานต่าง ๆ หลังจาก 4 ปีของการเดินทาง พวกเธอก็ได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์ในปลายปี ค.ศ. 1997 ในปีเดียวกันนั้นเดสทินีส์ไชลด์ได้บันทึกเสียงเพลงเปิดตัวเพลงแรกจากค่าย เพลง "คิลลิงไทม์" ซึ่งใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เมนอินแบล็ก[13][16] ในปีต่อมาก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ เดสทินีส์ไชลด์[15] ซิงเกิลฮิตซิงเกิลแรกคือเพลง "โน,โน,โน" อัลบั้มนี้ได้ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เป็นที่รู้จักและเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่อุตสหกรรมดนตรีและทำให้เดสิทินีส์ไชลด์ได้รับ 3 รางวัลจากงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดสสำหรับ "ซิงเกิลอาร์แอนด์บี/โซลยอดเยี่ยม" สำหรับเพลง "โน,โน,โน" , "อัลบั้มอาร์แอนด์บี/โซลยอดเยี่ยมแห่งปี", และ"ศิลปินอาร์แอนด์บี/โซลหรือแร็ปหน้าใหม่ยอดเยี่ยม"[13] ต่อมาพวกเธอก็ได้ออกอัลบั้มชุดที่สองซึ่งมียอดขายระดับมัลติ-แพลตินัม อัลบั้มเดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ ในปี 1999 เพลงในอัลบั้มที่ออกมาล้วนเป็นรู้จักกันอย่างกว้างขวาง เช่นเพลง "บิลส์, บิลส์, บิลส์" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรกของพวกเธอ, เพลง "จัมปิน', จัมปิน'", เพลง"เซย์มายเนม" ซึ่งเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในขณะนั้นและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง เพลง"เซย์มายเนม" ได้รับรางวัลการแสดงเพลงอาร์แอนด์บีคู่หรือกลุ่มด้วยเสียงร้องยอดเยี่ยมและเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมที่งานประกาศรางวัลแกรมมี ประจำปี 2001[13] เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ มียอดขายมากกว่า 7 ล้านชุด[15] และทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น

โนวส์ในเพลง "อินดีเพนเดนท์วูเมนพาร์ท1" เพลงที่ฮิตที่สุดของเดสทินีส์ไชลด์

ควบคู่กันกับความสำเร็จทางด้านกำไรและยอดขาย เดสทินีส์ไชลด์ได้มีปัญหากับลักเก็ตต์และโรเบอร์สัน สำหรับคดีความการละเมิดสัญญา และปัญหายิ่งเพิ่มขึ้นหลังจากที่มิเชลล์ วิลเลียมส์และฟาร่า แฟรงคลินได้ปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลง "เซย์มายเนม" ทำให้สามารถบอกเป็นนัยได้ว่าลักเก็ตต์และโรเบอร์สันได้ถูกแทนที่แล้ว[13] และในที่สุดลักเก็ตต์และโรเบอร์สันก็ได้ลาออกจากกลุ่มไป ต่อมาอีก 5 เดือนแฟรงกลินก็ได้ลาออกจากกลุ่มไป[15]ด้วยปัญหาความรู้สึกส่วนตัว หลักฐานปรากฏได้จากการที่เธอได้หายไปตามการโปรโมทและคอนเสิร์ตต่างๆ ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เหลือสมาชิกกลุ่มสุดท้ายคือ โนวส์, โรว์แลนด์, และวิลเลียม

ต่อมาพวกเธอได้มีซิงเกิล "อินดีเพนเดนท์วูเมนพาร์ท1" ซึ่งใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2000 นั่นคือภาพยนตร์เรื่องนางฟ้าชาลี เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่มีชาร์ตดีที่สุดของพวกเธอด้วยการที่อยู่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 ยาวนานถึง 11 สัปดาห์ติดต่อกัน[13][18] อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ เซอร์ไวเวอร์ วางขายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2001 แต่ก็ได้มีปัญหาบุคคลเดิมนั้นคือลักเก็ตต์และโรเบอร์สันในเรื่องของแนวของอัลบั้มว่าได้พาดพิงไปถึงพวกเธอ[13] แต่อย่างไรก็ตามอัลบั้มนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยการเปิดตัวอันดับหนึ่งบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก[19] จนถึงปัจจุบันเซอร์ไวเวอร์ มียอดขายมากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลกและยอดขายร้อยละ 40 นั้นคือยอดขายแค่ในสหรัฐอเมริกาเพียงที่เดียว[20] อัลบั้มยังมีซิงเกิลฮิตอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดอย่างเพลง "บูตีลิเชียส" และ "เซอร์ไวเวอร์" ที่ภายหลังก็สร้างรางวัลแกรมมีสาขาการแสดงเพลงอาร์แอนด์บีคู่หรือกลุ่มด้วยเสียงร้องยอดเยี่ยมให้กับพวกเธอ ต่อมาเดสทินส์ไชลด์ได้มีอัลบั้ม 8 เดส์ออฟคริสต์มาส ซึ่งวางขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปี 2001 หลังจากนั้นก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกไปทำงานเดี่ยวของตน[13]

2000-2002: การเป็นศิลปินเดี่ยวและการพัฒนาทางด้านอาชีพ

ในปี 2000 โนวส์ได้เซ็นสัญญาทำอัลบั้มเดี่ยว 3 อัลบั้มกับ โคลัมเบียเรเคิดส์[21] ขณะที่โนวส์ได้ทำงานร่วมกับเดสทินีส์ไชลด์ เธอก็ได้เริ่มทำงานเดี่ยวของตัวเอง เธอได้ร่วมงานกับ มาร์ก เนลซัน ในเพลง "อาฟเตอร์ออลอิสเซดแอนด์ดัน" เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในปี 1999 เรื่อง เดอะเบส์ตแมน และก็ได้ร้องเพลงร่วมกับ เอมิลล์[21] ในเพลง"ไอก็อทแดท" ปี 2000 ในช่วงต้นปี 2001 ขณะที่เดสทินีส์ไชลด์กำลังทำอัลบั้ม เซอร์ไวเวอร์ โนวส์ได้รับบทนักแสดงนำจากภาพยนตร์โทรทัศน์ ซึ่งออกฉายในช่องเอ็มทีวี เรื่อง Carmen: A Hip Hopera[22]

ในปี 2002 โนวส์มีผลงานการแสดงภาพยนตร์แนวตลก เรื่อง พยัคฆ์ร้ายใต้สะดือ ตอน ตามล่อพ่อสายลับ[23] ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศของสหรัฐอเมริกา มีรายได้กว่า 73.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์แรก[24] และโนวส์ก็ได้มีซิงเกิลเดี่ยวซิงเกิลแรกของเธอ "เวิร์คอิทเอาท์" เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้[25] ในปีต่อมานั้นเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์แนว โรแมนติกโคเมดี้ เรื่อง เดอะไฟท์ทิงเทมป์เทชัน และมีซิงเกิลร่วมกับแร็ปเปอร์หญิงอย่าง มิสซี เอลเลียต, เอ็มซี ไลยต์, และ ฟรี ในเพลง "ไฟท์ทิงเทมป์เทชัน" เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ [26][27]

ในปีเดียวกันนั้น โนวส์ได้ร่วมร้องเพลงกับแฟนหนุ่มของเธอ เจย์-ซี ในเพลง"'03 บอนนีย์แอนด์ไคล์ด"[24] ลูเธอร์ แวนดรอสและโนวส์ ได้นำเพลง "เดอะโคลสเสอร์ไอเก็ทยู" กลับมาทำใหม่ ซึ่งต้นฉบับขับร้องโดย โรเบอร์ตา แฟล็ก และ ดอนนี่ แฮทอะเวย์ ในปี 1977[28] แล้วฉบับของพวกเขานี้ ก็ได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาการร้องเพลงอาร์แอนด์บีคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยม ในปีต่อมา

2003-2004: เดนเจอรัสลีอินเลิฟ

หลังจากโรว์แลนด์และวิลเลียมได้มีอัลบั้มเดี่ยวในปี 2002 โนวส์ก็ได้ออกมาเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอ เดนเจอรัสลีอินเลิฟ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003[28] ที่ได้ร่วมงานกับบรรดาคนทำเพลงชื่อดังมากมาย อัลบั้มนี้เปิดตัวบนอัลบั้มบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 317,000 ชุดในสัปดาห์แรก[19] สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา (RIAA) ได้จัดให้อัลบั้มนี้มียอดขายระดับ 4x แพลตินัม เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2004[29] และจนถึงปัจจุบันอัลบั้มนี้มียอดขายกว่า 5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา

อัลบั้มนี้มีซิงเกิลอันดับหนึ่งถึง 2 เพลง เพลง "เครซีอินเลิฟ" ที่ได้มีท่อนแร็ปจากเจย์-ซี ออกจำหน่ายเป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม ครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 ถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน[30] และอยู่อันดับแรก ๆ ของหลายชาร์ตทั่วโลก โนวส์ยังประสบความสำเร็จทั้งในสหราชอาณาจักรโดยได้มีทั้งซิงเกิลและอัลบั้มอยู่อันดับหนึ่งของที่นั่น[31][32] ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้มคือเพลง "เบบี้บอย" ที่ได้ร่วมงานกับฌอน พอล ที่ได้กลายเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2003 ครองอันดับหนึ่งแอร์เพลย์ที่สหรัฐอเมริกาและอยู่อันดับ 1 ได้ถึง 9 สัปดาห์ บนบิลบอร์ด ฮอต 100 ยาวนานกว่าเพลง "เครซีอินเลิฟ" หนึ่งสัปดาห์[33][34] นอกจากนี้ยังมีเพลง "มี, มายเซล์ฟ, แอนด์ไอ" และ "นอติเกิร์ล" เป็นซิงเกิลที่ 3 และ 4 จากอัลบั้มนี้ติด 5 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน[35]

โนวส์ได้รับรางวัลแกรมมีถึง 5 สาขาจากความตั้งใจและทุ่มเทของเธอ[36] ได้แก่ รางวัลสาขาการร้องเพลงอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม จากเพลง "เดนเจอรัสลีอินเลิฟ 2", เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม จากเพลง "เครซีอินเลิฟ", และสาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม และในปีเดียวกันเธอก็ได้รับรางวัลของบริทอวอร์ดส สาขาศิลปินหญิงเดี่ยวระดับนานาชาติ[37] ถือเป็นการแจ้งเกิดในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงนั้น ในช่วงพฤศจิกายน 2003 บียอนเซ่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตแดนเจอรัสลีอินเลิฟทัวร์ในทวีปยุโรป และร่วมเดินสายเวอร์ริซอนเลดีส์เฟิสต์ทัวร์กับมิสซี เอลเลียตและอลิเชีย คียส์ในอเมริกาเหนือ

2004-2005: เดสทินีฟูล์ฟิลด์ และ ปิดฉากเดสทินีส์ไชลด์

ในปี 2004 โนวส์วางแผนที่จะออกอัลบั้มชุดใหม่ และชุดสุดท้ายของเดสทินีส์ไชลด์ หลังจากอัลบั้มเดนเจอรัสลีอินเลิฟของเธอ ในช่วงต้นปีนั้น โนวส์ได้รับเกียรติให้ไปร้องเพลงชาติสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขัน ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่38 ณ รีเลียนท์สเตเดี้ยม ในฮิวสตัน และเธอก็ได้บอกว่าเป็นความใฝ่ฝันในวัยเด็กของเธอ[38]

เดสทินีส์ไชลด์ร้องเพลง "เซย์มายเนม" ในทัวร์คอนเสิร์ต เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์

หลังจาก 3 ปีที่พวกเธอได้ทำผลงานเดี่ยว พวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 4 เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 [39] อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสูงสุดในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดได้ในอันดับที่ 2 มีซิงเกิลที่ฮิตอย่างเพลง "ลอสมายบรีท" , "โซล์เดอร์" , "เกิร์ล" , และ "คาเตอร์ทูยู" ต่อมาได้มีคอนเสิร์ตทัวร์ เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์ ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2005 ในปีเดียวกันก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชุดแรก นัมเบอร์วันส์ ที่รวบรวมซิงเกิลอันดับ 1 และเพลงฮิตทั้งหมดที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่ก่อตั้งวงนี้มา รวมถึงเพลงพิเศษอย่าง "สแตนด์อัพฟอร์เลิฟ" ในปี 2005 จากความสำเร็จอย่างมากมาย

ความทุ่มเทในการทำงานของพวกเธอทำให้ได้รับการจารึกชื่อวง เดสทินีส์ไชลด์ลงบน ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม ในเดือนมีนาคม ปี 2006[40] และในที่สุดวงนี้ก็ได้ประกาศยุบตัวลง เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เหลือเพียงตำนานและชื่อเสียงที่น่าจดจำของ กลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[41][42] และยังได้ตำแหน่ง 100 ศิลปินตลอดกาลที่บิลบอร์ดจัดขึ้นในปี 2008[43]

ในปลายปี 2005 โนวส์ได้เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ดรีมเกิร์ลส ที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ในปี 1981 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้องในยุค 60 โดยได้แรงบันดาลใจจากวงดนตรีหญิงล้วน แนวโมทาวน์ วงเดอะ ซูปพรีมส์ โดยยึดลักษณะตัวละครคือ ไดอาน่า รอสส์ ในเรื่องคือ ดีน่า โจนส์[44][45] ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกฉายในเดือนธันวาคม และเรื่องนี้โนวส์ได้ร่วมงานกับนักแสดงนำอย่าง เจมี ฟ็อกซ์, เอ็ดดี้ เมอร์ฟี, และ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน โนวส์ได้บันทึกเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่หลายเพลง ซึ่งก็รวมไปถึงเพลง "ลิสเซน"ด้วย[46] ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2006 โนวส์ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ถึง 2 สาขา นั่นก็คือ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม - โมชันพิกเจอร์ มิวสิคัลหรือตลก และ เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเพลง "ลิสเซน" [47]

2006-2007: บี'เดย์

ปี 2006 โนวส์มีผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่อง เดอะพิงค์แพนเตอร์ ซึ่งออกฉายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 เปิดตัวที่อันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของสหรัฐอเมริกา มีรายได้กว่า 21.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์แรก [48][24] เธอยังร้องเพลงประกอบภาพยนตร์อย่างเพลง "เช็dออนอิท" ที่เธอได้ร่วมงานกับ สลิม ทัก และยังขึ้นถึงอันดับ 1 ในบิลบอร์ดฮ็อต 100อีกด้วย[44]

โนวส์กลับมากับอัลบั้ม บี'เดย์ ซึ่งออกวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2006 ซึ่งตรงกับวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอพอดี อัลบั้มนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 541,000 ชุด และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์แรกสูงที่สุดในฐานะศิลปินเดี่ยว[49] นอกจากจะรับหน้าที่เป็นเอกซ์คูทีฟโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มนี้แล้ว โนวส์ยังร่วมแต่งและโปรดิวซ์เพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลงเลยทีเดียว ร่วมด้วยทีมงานโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับซุปเปอร์สตาร์เช่น สวิซ บีทซ์, ริช ฮาร์ริซัน, เดอะเนปจูนส์, ซีน การ์เรต, สตาร์ เกต, เจย์-ซี, โซแลงก์ โนวส์, เองเจลินา บียินเซ่, มาคีบา และ รอดนีย์ เจอร์กินส์[50]


ซิงเกิลแรกอย่าง "เดจาวู" ที่ได้เจย์-ซี มาช่วยแร็ปให้ในเพลงนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ รอดนีย์ เจอร์กินส์ และยังได้ โซฟี มุลเลอร์ ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอชื่อดังมากำกับมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้อีกด้วย และออกซิงเกิลที่ 2 ตามมาคือ เพลง "ริงดิอลาร์ม" แต่ทั้งสองซิงเกิลนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนในชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 เหมือนซิงเกิลที่ผ่านๆมา จนมาถึงซิงเกิลที่ 3 เพลง "อีเรเพลสอเบิล" ถือเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในปี 2007 ซึ่งครองอันดับ 1 ถึง 10 สัปดาห์ และมียอดขายซิงเกิลกว่า 6 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้เป็นเพลงที่ฮิตที่สุดของเธอด้วย

ต่อมาโนวส์ได้วางจำหน่าย บี'เดย์ ฉบับดีลักซ์ ในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 2007 โดยเพิ่มเพลงใหม่ไปอีก 5 เพลง และฉบับภาษาสเปนของเพลง "อีเรเพลสอเบิล" และ "ลิสเซน" นอกจากนั้นยังมีเพลง "บิวติฟูล์ไลอาร์" ที่เธอร่วมร้องกับนักร้องสาวชาคีร่า ขึ้นอันดับ 1 ในประเทศอังกฤษ ส่วนในสหรัฐอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3[51]

ต่อมาโนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตชื่อว่า เดอะบียอนเซ่เอกซ์พีเรียนส์ มีรอบการแสดงถึง 97 รอบทั่วโลก ทั้งใน เอเซีย, ออสเตรเลีย, อเมริกาเหนือ, ยุโรป, และ แอฟริกา เปิดทัวร์ที่ประเทศญี่ปุ่นและสิ้นสุดที่ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ทัวร์นี้ได้มีการบันทึกภาพที่ ลอสแอนเจลิส และวางขายเป็นดีวีดีในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า เดอะบียอนเซ่เอกซ์พีเรียนส์ไลฟ์ และในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2007 เธอได้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทย ที่อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี โดยผู้จัดคือ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) [52] ท่ามกลางความตื่นเต้นและรอคอยของแฟนคลับชาวไทย

ในงานแกรมมีปี 2007 อัลบั้มบี'เดย์ ทำให้โนวส์ได้รับรางวัลสาขาอัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม [53] และโนวส์ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในอเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส์ ครั้งที่ 35 โดยเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลสาขาศิลปินระดับต่างประเทศ[38]

2008-2010: ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส

ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 โนวส์ได้ร้องเพลงร่วมกับทีน่า เทอร์เนอร์ ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 50 โนวส์ได้เรียกเทอร์เนอร์ว่า 'เดอะควีน' และร้องเพลง "พราวด์แมรี" ต่อมาโนวส์ได้มีงานภาพยนตร์นั่นก็คือ คาดิลแล็กเรเคิดส์ วันวานตำนานร็อก ที่เริ่มถ่ายทำในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งเธอรับบทเป็นนักร้องในตำนาน เอตต้า เจมส์ และโนวส์ยังได้มีภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่อง แรงรักมรณะ ร่วมกับนักแสดงนำอย่าง อาลิ ลาร์เตอร์ และ อิดริส เอลบา ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2009 ในวันแรกภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 11.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในสุดสับดาห์ก็มียอดจำหน่ายในบ็อกออฟฟิศของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ 1 ด้วยรายได้ทั้งหมด 28.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [54]

โนวส์ในเพลง "อเมริกาเดอะบิวทิฟูล์" ในงาน
พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามา

โนวส์กลับมาอีกครั้งในช่วงปลายปี กับอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 มีชื่อว่า ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008.[55] โดยโนวส์ได้เผยว่า ซาชา เฟียร์ส คือภาพลักษณ์ของเธอเวลาอยู่บนเวทีที่จะเต็มที่ เปรี้ยวแรง และทุ่มเท ต่างกับตัวจริงของเธอที่จะเป็นคนเงียบๆ และเรียบง่าย มีซิงเกิลแรกและซิงเกิลที่สองออกมาพร้อมกัน 2 เพลง คือ "อิฟไอเวอร์อะบอย" และ "ซิงเกิลเลดีส์ (พุตอะริงออนอิต)" ในวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ที่ต่างประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ โดยเพลง "อิฟไอเวอร์อะบอย" สามารถขึ้นไปอันดับหนึ่งบนชาร์ตซิงเกิลแห่งสหราชอาณาจักร และเพลง "ซิงเกิลเลดีส์ (พุตอะริงออนอิต)" นั้นสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 ซึ่งนับเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดเพลงที่ 5 ของโนวส์ในฐานะศิลปินเดี่ยว และซิงเกิลที่ 4 ของอัลบั้มนี้ "เฮโล" สามารถขึ้นไปสูงสุดในบิลบอร์ดได้ถึงอันดับที่ 5 ทำให้เป็นซิงเกิลที่ 12 ที่สามารถติดอันดับ 1 ใน 10 ของบิลบอร์ดได้ในฐานะศิลปินเดี่ยว ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงอยู่ในสิบอันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้ [56][57] ต่อมาโนวส์ก็ได้รับรางวัลสาขาศิลปินหญิงโดดเด่น ของเอ็นเอเอซีพีอิมเมจอวอร์ด [58] และยังได้รับรางวัลศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมที่ทีนชอยส์อวอร์ดประจำปี 2009 อีกด้วย

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 โนวส์ได้รับเกียรติให้ไปร้องเพลง "อเมริกาเดอะบิวทิฟูล" ในงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามา และเธอยังได้นำเพลง "แอตลาสต์" เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง คาดิลแล็กเรเคิดส์ วันวานตำนานร็อก ไปร้องระหว่างการเต้นรำของประธานาธิบดีโอบามาและมิเชลล์ ในขณะที่เป็นประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกาด้วย [59]

โนวส์ได้มีทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งที่ 3 ใช้ชื่อว่า ไอแอม... ทัวร์ การทัวร์เริ่มในช่วงเดือนมีนาคมโดยที่จะไปในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มจากอเมริกา, ยุโรป, เอเซีย, แอฟริกาและโอเชียเนีย ซึ่งระหว่างการทัวร์ในสหรัฐอเมริกา เธอได้จัดคอนเสิร์ต "ไอแอม... ยัวรส์" 4 รอบ ที่ลาส เวกัส ทัวร์คอนเสิร์ตของโนวส์ในครั้งนี้ติดอันดับ 1 คอนเสิร์ตที่ร้อนแรงที่สุดจากบิลบอร์ด และยังยืนยันถึงความสำเร็จของทัวร์นี้อีกว่าทัวร์คอนเสิร์ตนี้มีรายได้ได้กว่า 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐขณะที่เพิ่งเริ่มการทัวร์และติดอยู่ใน 15 ทัวร์ที่มีรายได้มากที่สุด ด้วยการที่มีกำหนดการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2010 เธอเดินสายคอนเสิร์ตทั้งหมด 108 รอบ กวาดรายได้กว่า 119.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[60][61]

มิวสิกวิดีโอเพลง "ซิงเกิลเลดีส์ (พุตอะริงออนอิต)" ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปีที่งานประกาศรางวัลบีอีทีอวอร์ดส์ ประจำปี 2009 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ประจำปี 2009 ถึง 9 รางวัล ท้ายที่สุดก็ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปีกับอีก 2 รางวัลที่นี้อีกเช่นเดียวกัน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 โนวส์ได้รับรางวัล "วูเมนออฟเดอะเยียร์" จากนิตยสารบิลบอร์ด[62] นอกจากนี้ในงานประกอศผลรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 บียอนเซ่มีชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งหมด 10 รายการ ทั้งอัลบั้มแห่งปีจาก "ไอแอม... ซาชาเฟียร์ส", บันทึกเสียงแห่งปีจาก "ฮาโล" และเพลงแห่งปีจาก "ซิงเกิลเลดีส์ (พุตเดอะริงออนอิต)" และอื่น ๆ และชนะรางวัลถึง 6 รางวัลด้วยกัน ทำให้เธอเป็นผู้หญิงทีชนะรางวัลแกรมมีมากที่สุดภายในหนึ่งคืน ในปี 2010 เธอร่วมงานกับเลดี้ กาก้าในเพลง "เทเลโฟน" ที่ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ตเพลงป็อปของอเมริกาได้ กลายเป็นเพลงที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้เป็นเพลงที่ 6 ทั้งของบียอนเซ่และเลกี้ กาก้า

บียอนเซ่ประกาศพักงานในวงการเพลงในเดือนมกราคม 2010 ตามคำแนะนำของแม่ของเธอ "กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง หาแรงบันดาลใจจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว" ระหว่างพักนั้นเธอได้ไปเที่ยวในหลายประเทศในยุโรป ไปที่กำแพงเมืองจีน มหาพีระมิดที่อียิปต์ ออสเตรเลีย เทศกาลดนตรีของอังกฤษ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และการแสดงบัลเล่ต์

2011-2015: โฟร์ และ บียอนเซ่

บียอนเซ่ในคอนเสิร์ตโฟร์อินทิเมตไนท์วิทบียอนเซ่

วันที่ 24 มิถุนายน 2011 โนวส์ได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ใช้ชื่อว่า โฟร์ ผ่านทางค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์ ขายได้ 310,000 ชุด ภายใน 1 สัปดาห์ ขึ้นแท่นบิลบอร์ดอันดับที่ 1 ในบิลบอร์ด 200[63]ในวันที่ 26 มิถุนายน 2011 บียอนเซ่เป็นศิลปินหญิงเดี่ยวคนแรกที่ได้ขึ้นเวทีพีระมิด ซึ่งเป็นเวทีหลักในรอบ 20 ปีในเทศกาลแกลสตันบูรี 2011 ซิงเกิลเปิดอัลบั้มอย่าง "รันเดอะเวิลด์ (เกิร์ลส)" และ "เบสติงไอเนเวอร์แฮฟ" ถือว่าประสบความสำเร็จพอประมาณ แต่ซิงเกิลที่สี่อย่าง "เลิฟออนท็อป" นั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในเชิงพาณิชย์ในอเมริกา เรื่อง "อีต, เพลย์, เลิฟ" ที่เธอแต่งลงนิตยสารเอสเซน ซึ่งเกี่ยวกับช่วงที่เธอพักในปี 2010 ได้รับรางวัลจากจาก New York Association of Black Journalists และในช่วงท้ายปี 2011 เธอได้แสดงคอนเสิร์ตโฟร์อินทิเมตไนท์วิทบียอนเซ่ ทั้งหมด 4 รอบในโรสแลนด์บอลรูม

ในวันที่ 7 มกราคม 2012 บียอนเซ่ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก ชื่อว่า "บลู ไอวี คาร์เตอร์" ที่โรงพยาบาลเลเน็กซ์ฮิลส์ในนิวยอร์ก ห้าเดือนต่อมา บียอนเซ่หวนคืนสู่เวทีอีกครั้งกับการแสดงทั้งหมด 4 รอบที่เรเวล แอตแลนติกซิตี้เพื่อฉลองการเปิดรีสอร์ตแห่งใหม่

เดือนมกราคม 2013 เดสทินีส์ไชลด์ได้ปล่อยอัลบั้ม "เลิฟซอง" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ได้รวบรวมเพลงรักโรแมนติกจากอัลบั้มก่อน ๆ และมีหนึ่งเพลงใหม่ ชื่อว่า "นิวเคลียร์" และบียอนเซ่ยังได้รับเกียรติร้องเพลงชาติสหรัฐ ฯ ในพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีบารัก โอบามาอีกด้วย เดือนถัดมา บียอนเซ่ได้รับเชิญให้ไปแสดงช่วงพักครึ่งในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 47 ร่วมกับเพื่อนรัก เคลลี โรว์แลนด์และมิเชล วิลเลียมส์ ซึ่งส่งผลให้การแสดงนี้เป็นเหตุการณ์ที่ถูกทวิตมากที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ด้วยจำนวน 268,000 ทวิตต่อนาที และสารคดีเรื่องยาวเกี่ยวกับชีวิตของเธอ "ไลฟ์อิสบัตอะดรีม" ก็ได้ฉายบนช่องเอชบีโอในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2013

บียอนเซ่กำลังแสดงเพลง 1+1 จากอัลบั้มโฟร์ในคอนเสิร์ตเดอะมิสซิสคาร์เตอร์โชว์เวิลด์ทัวร์

ต่อมาในวันที่ 15 เมษายน 2013 บียอนเซ่ได้เริ่มเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตเดอะมิสซิสคาร์เตอร์โชว์เวิลด์ทัวร์ โดยแสดงที่เบลเกรด ประเทศเซอร์เบียเป็นที่แรก และสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2014 รวมแล้วเธอทัวร์คอนเสิร์ตทั้งสิ้น 132 รอบ กลายเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ประสบความที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอและเป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล ในเดือนพฤษภาคม "แบ็กทูแบล็ก" เพลงของศิลปินในตำนาน เอมี ไวน์เฮาส์ที่บียอนเซ่ได้นำมาคัฟเวอร์ ซึ่งถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เดอะ เกรท แกตสบี้ รักเธอสุดที่รัก ก็ได้ปล่อยออกมา นอกจากนี้เธอยังให้เสียงตัวละครควีนทาร่าในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง "เอปิก" และร้องเพลงประกอบชื่อว่า "ไรส์อัป" ซึ่งแต่งร่วมกับเซียอีกด้วย มิถุนายน 2014 บียอนเซ่และเคลลี โรว์แลนด์ ได้ร่วมงานกับ มิเชล วิลเลียมส์ เพื่อนร่วมวงเดสทินีส์ไชลด์อีกครั้ง ในซิงเกิ้ล Say Yes เป็นซิงเกิลของมิเชลล์ ภายใต้ค่ายเพลงอิสระ เอ็นเตอร์เทนเมนต์วัน (อีวัน)

วันที่ 13 ธันวาคม 2013 โนวส์ได้ออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ใช้ชื่อว่า บียอนเซ่ ลงบนไอทูนส์โดยปราศจากการประกาศล่วงหน้า และขึ้นแท่นบิลบอร์ดอันดับที่ 1 ในบิลบอร์ด 200 ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบั้ม 5 อัลบั้มแรกเปิดตัวบนชาร์ตด้วยอันดับ 1 อัลบั้มนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ดีและขายได้ 617,000 ชุด ภายใน 3 วันในสหรัฐฯ (828,773 ทั่วโลก) เป็นอัลบั้มที่สร้างปรากฏเหนือความคาดหมายในวงการเพลงส่งท้ายปี โดยนำเสนอในรูปแบบเพลงจำนวน 14 เพลง (16 เพลง ["โกสต์" / "ฮอนเท็ด" และ "ยอนเซ่" / "พาร์ทิชั่น" เป็นเพลงต่อ]) และมิวสิกวีดีโอ 17 เพลง แถมโบนัสวิดีโอ "โกรนวูแมน" โดยมีบูทส์, ทิมบาแลนด์, จัสติน ทิมเบอร์เลค‎, เจ ร๊อซ, เจย์ ซี, พาเรียล, เดอะ ดรีม, ฮิตบอย, ไรอัน แทนเดอร์, เซีย, มิเกล, เดรก, มาจิด จอร์แดน, แฟรงก์ โอเชียน ฯลฯ เป็นโปรดิวเซอร์ [64] บียอนเซ่ปล่อยซิงเกิลเอ็กโอและดรังอินเลิฟที่พีกขึ้นอันดับ 2 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 หลังจากการแสดงที่งานประกาศผลรางวัลแกรมมี 2014 ตามด้วยพาร์ทิชั่นและพริตทีเฮิร์ตส เดือนเมษายน 2014 บียอนเซ่และเจย์ซีประกาศทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกันอย่างเป็นทางการ ใช้ชื่อว่า "ออนเดอะรันทัวร์" โดยกวาดรายได้กว่าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐด้วยจำนวนรอบ 21 รอบ ในเดือนสิงหาคม 2014 เธอได้รับรางวัลไมเคิลแจ็กสันแวนการ์ดในงานประกาศผลรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2014 และยังชนะอีก 3 รางวัล ได้แก่ Best Video with a Social Message และ Best Cinematography จากพริตทีเฮิร์ตสและ Best Collaboration จากดรังอินเลิฟ ในเดือนพฤศจิกายน นิตยสารฟอบส์รายงานว่า บียอนเซ่เป็นผู้หญิงในวงการเพลงที่ทำรายได้สูงสุดติดกันเป็นปีที่ 2 โดยทำรายได้ไป 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในหนึ่งปี ซึ่งมากกว่ารายได้ของเธอในปี 2013 กว่าสองเท่า ต่อมาบียอนเซ่ปล่อย บียอนเซ่ ฉบับแพลตินั่ม พร้อม 2 เพลงใหม่ ได้แก่ 7/11 และริงออฟ และ 4 เพลงรีมิกซ์ หนึ่งในนั้นมีสแตนดิงออนเดอะซัน ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้ในโฆษณาของ H&M ด้วย

ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมีครั้งที่ 57 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 บียอนเซ่เข้าชิงทั้งหมด 6 สาขาด้วยกัน และชนะในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ Best R&B Performance และ Best R&B Song จากเพลง "ดรังอินเลิฟ" และ Best Surround Sound Album จาก "บียอนเซ่" เธอเข้าชิงรางวัล Album of The Year ด้วย แต่เบ็กชนะไปด้วยอัลบั้มมอร์นิ่งเฟส

2016-ปัจจุบัน: อัลบั้มชุดที่ 6

บียอนเซ่ทำการแสดงช่วงพักครึ่งซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 50

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2016 บียอนเซ่กลับมาอีกครั้งกับซิงเกิลใหม่ "ฟอร์เมชัน" ซึ่งปล่อยให้ดาวน์โหลดได้ฟรีในบริการสตรีมเพลงไทดอล วันต่อมาเธอได้แสดงเพลงฟอร์เมชันเป็นครั้งแรกในช่วงพักครึ่งในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 50 ที่เธอเป็นแขกรับเชิญให้กับโคลด์เพลย์ และหลังจากนั้นเธอก็ประกาศทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก "เดอะฟอร์เมชันเวิลด์ทัวร์" ในทันที

ใกล้เคียง

บียอนเซ่ โนวส์ บียอนเซ (อัลบั้ม) บียอนด์: ทูโซลส์ บียอนเซ่ - ไลฟ์แอตเวมเบล์ย บียอนเซ่ดิอัลติเมทเพอร์ฟอร์เมอร์ บียอนเซ่คาราโอเกะฮิตส์, วอล.1 บยอน อู-ซ็อก บียอร์นมนุษย์เหล็ก บายอน บียอร์น สเวนเซน

แหล่งที่มา

WikiPedia: บียอนเซ่_โนวส์ http://www.news.com.au/entertainment/story/0,26278... http://www.cbc.ca/arts/story/2009/02/13/image-winn... http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=11:egj97i... http://www.allmusic.com/artist/beyonc-p349078 http://www.ascap.com/playback/2004/winter/hiphopso... http://www.bet.com/Lifestyle/Style/lifestylefashoi... http://beyonce.com http://www.beyonceonline.com/th/home/ http://www.beyonceonline.com/us/home/ http://www.billboard.com/#/news/beyonce-accepts-bi...