ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (1959–85) (
อังกฤษ: History of Liverpool F.C. (1959–85)) เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการแต่งตั้ง
บิลล์ แชงคลี ให้เป็นผู้จัดการทีมเมื่อฤดูกาล 1959–60 ซึ่งขณะนั้นทางสโมสรยังอยู่ใน
ฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 (เดิม) หรือ
อีเอฟแอลแชมเปียนชิป ในปัจจุบันจนกระทั่งถึง
โศกนาฏกรรมเฮย์เซล ใน ค.ศ. 1985ในฤดูกาล 1961–62 สโมสรลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ดิวิชัน 2 (เดิม) และได้สิทธิ์ขึ้นมาเล่นใน
ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 (เดิม) หรือ
พรีเมียร์ลีก ในปัจจุบันจนกระทั่งแชงคลีสามารถพาทีมหงส์แดงคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม) ในฤดูกาล 1963–64 นับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 17 ปีโดยแชงคลีได้แชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม) อีก 2 สมัย
เอฟเอคัพ 2 สมัย
แชริตีชีลด์ 4 สมัยและ
ยูฟ่าคัพ อีก 1 สมัยหลังจากพาทีมคว้าแชมป์แชริตีชีลด์ใน ค.ศ. 1974 หรือก่อนเริ่มฤดูกาล 1974–75 แชงคลีได้ประกาศวางมือหลังจากคุมทีมมายาวนานถึง 15 ปีโดยมี
บ๊อบ เพสลีย์ มือขวาของแชงคลีเข้ามาคุมทีมแทนเมื่อเพสลีย์ได้เข้ามาคุมทีมแทนแชงคลีแล้วเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 (เดิม) 6 สมัย
ยูโรเปียนคัพ 3 สมัย ยูฟ่าคัพ 1 สมัย
ลีกคัพ 3 สมัย และแชริตีชีลด์อีก 6 สมัยโดยแชมป์รายการสุดท้ายของเพสลีย์คือลีกคัพในค.ศ. 1983 หลังจากนั้นเพสลีย์ได้ประกาศวางมือโดยมี
โจ เฟแกน มือขวาของเพสลีย์ขึ้นมาคุมทีมแทนหลังจากเฟแกนได้ขึ้นมาคุมทีมแล้วเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 สมัย ลีกคัพ 1 สมัยและยูโรเปียนคัพ 1 สมัยก่อนจะประกาศวางมือหลังจากเกิด
โศกนาฏกรรมเฮย์เซล ในระหว่างการแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบชิงชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูลกับ
ยูเวนตุส เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1985 ส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกห้ามแข่งบอลถ้วยยุโรปรายการต่าง ๆ นานถึง 5 ปีโดย
เคนนี แดลกลีช ได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เล่น-ผู้จัดการทีม