ประเภท ของ ประสบการณ์ผิดธรรมดา

อุบัติการณ์ที่น่าสนใจที่สุด (ซึ่งจะกล่าวถึงเหตุผลต่อไป) ก็คือประสบการณ์ผิดธรรมดาที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง

การปรากฏของบุคคลหรือสิ่งของ

ประสบการณ์ผิดธรรมดาที่สามัญอย่างหนึ่งก็คือ การปรากฏของบุคคลหรือสิ่งของ (apparitional experience)ซึ่งจำกัดความได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่มีการรับรู้ว่ามีบุคคลอื่นหรือว่ามีสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง ๆ ผู้ที่รายงานปรากฏการณ์นี้ด้วยตนเองมักจะรายงานถึงการรับรู้ถึงรูปคล้ายคน แต่ว่าการรับรู้ถึงสัตว์[4] และถึงวัตถุอื่น ๆ ก็ยังมีด้วย[5] ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่ปรากฏคล้ายคนโดยมากจะไม่ใช่บุคคลที่คนนั้นรู้จักและสำหรับในบุคคลที่รู้จัก คนที่ปรากฏนั้นจะไม่ใช่คนที่ตายแล้ว[6]

ประสบการณ์ออกนอกร่าง

คนโดยมากมักจะคิดถึงประสบการณ์ออกนอกร่าง (Out-of-body experiences) ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience)แต่จริง ๆ แล้ว หลักฐานกลับชี้ว่า ประสบการณ์ออกนอกร่างโดยมากไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่ใกล้ตายแต่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความตื่นตัวระดับที่สูงมากหรือระดับที่ต่ำมาก[7]

ดร. แม็คเคลียรี[8] ได้เสนอว่า ระดับความตื่นตัวที่เหมือนจะขัดแย้งกันอย่างนี้สามารถอธิบายได้ว่าการนอนหลับไม่ใช่เกิดขึ้นในภาวะที่มีความตื่นตัวต่ำและมีความรู้สึกทางประสาทสัมผัสน้อยลงโดยทั่วไปเพียงเท่านั้นแต่ยังเกิดในภาวะที่มีความเครียดจัดและมีความตื่นตัวสูงด้วย[9] ถ้าอธิบายโดยใช้แนวทางนี้ ก็จะอธิบายได้ว่า ประสบการณ์ออกนอกร่างเกิดขึ้นเพราะกระบวนการนอนหลับขั้นที่ 1 ได้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังตื่นอยู่

ประสบการณ์ออกนอกร่างสามารถพิจารณาว่าเป็นอาการประสาทหลอน[ต้องการอ้างอิง] เพราะเป็นประสบการณ์รับรู้หรือคล้ายการรับรู้ซึ่งสิ่งที่รับรู้ไม่ได้มีอยู่จริง ๆ ทางกายภาพดังนั้น ข้อมูลประสาทสัมผัสจริง ๆ ที่บุคคลนั้นได้รับ (ถ้ามี) ในช่วงประสบการณ์ก็จะไม่ตรงกลับกับการรับรู้ถึงโลกรอบตัวของบุคคลนั้น

เหมือนกับประสบการณ์เกี่ยวกับประสาทหลอนอย่างอื่น ๆผลสำรวจประชากรพบว่าประสบการณ์นี้ค่อนข้างสามัญโดยมีความชุกที่อัตราร้อยละ 15-20[10] ค่าที่แตกต่างกันเชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะความต่างของกลุ่มประชากรที่สุ่มตรวจสอบและความแตกต่างของความหมายของคำว่า ประสบการณ์ออกนอกร่าง ที่ใช้ในการสำรวจ

ความฝันและความฝันรู้ตัว

ดูสารนิเทศเพิ่มเติมที่: ความฝัน

ความฝันได้รับคำนิยามจากชนบางพวก (เช่นสารานุกรมบริตานิกา) ว่าเป็นประสบการณ์คล้ายประสาทหลอนในช่วงที่นอน[11]

ส่วน ความฝันรู้ตัว หรือ ความฝันชัดเจน (อังกฤษ: lucid dream) มีนิยามคือ เป็นความฝันที่ผู้ฝันรู้ตัวว่ากำลังหลับและฝันอยู่นายแพทย์ชาวดัตช์ชื่อว่าเฟร็ดเดอริก แวน อีเด็นใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า lucid dream เป็นคนแรก[12] เป็นผู้ได้ศึกษาความฝันประเภทนี้โดยศึกษาความฝันของตนเองคำว่า lucid มุ่งหมายว่า ผู้ฝันมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะปัจจุบันของตนไม่ใช่หมายถึงว่า ความฝันนั้นมีความชัดเจนขนาดไหนแม้เป็นเช่นนั้น ความฝันรู้ตัวก็มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ มีระดับความชัดเจนสูงเหมือนกับกำลังประสบเหตุการณ์นั้นจริง ๆ จนกระทั่งว่าผู้ฝันอาจจะถึงกับใช้เวลาในการเช็คดูและชมสิ่งแวดล้อมที่กำลังประสบว่า เหมือนกันกับที่พบในชีวิตจริง ๆ[13]

ความฝันรู้ตัวเกิดขึ้นเมื่อกำลังหลับอยู่แต่บางครั้งพิจารณาว่าเป็นอาการประสาทหลอนเหมือนกับความฝันที่ไม่รู้ตัวแต่มีความชัดเจนสูงเหมือนกับเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งพิจารณาได้ว่าเป็นอาการประสาทหลอนซึ่งเป็นอาการที่มีนิยามว่า "ประสบการณ์เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นทางประสาทสัมผัสจริง ๆ แต่ความจริงไม่มีการกระตุ้นที่เหมาะสมที่ประสาทสัมผัส"[14]

การตื่นนอนเทียม

ส่วน การตื่นนอนเทียม (อังกฤษ: False awakenings) หมายถึงบุคคลนั้นเหมือนกับจะตื่นขึ้นจากการฝันปกติหรือฝันแบบรู้ตัวแต่จริง ๆ แล้ว ยังหลับอยู่[15] บางครั้งประสบการณ์นี้จะเหมือนจริงมาก(เช่นเหมือนกับจะตื่นขึ้นในห้องนอนของตน)จนกระทั่งว่า ความรู้สึกตัวว่ากำลังฝันอยู่ จะไม่ปรากฏโดยทันทีและบางครั้งจะไม่รู้ตัวจนกระทั่งตื่นขึ้นจริง ๆ แล้วจึงรู้ตัวว่า สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเป็นอาการประสาทหลอนประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยในบุคคลที่ฝึกการฝันแบบรู้ตัวแต่ว่า ก็เกิดขึ้นเองด้วย และมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการผีอำ (อังกฤษ: sleep paralysis[16])

ประสาทหลอนที่ทำให้เกิดขึ้นในห้องแล็บ

อาการประสาทหลอนหรือประสบการณ์ผิดธรรมดาที่เหมือนกับในคนโรคจิตเหล่านี้เป็นความเปลี่ยนแปลงของการรับรู้เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในระดับสูงแต่จริง ๆ แล้ว การรับรู้โดยทั่ว ๆ ไปต้องอาศัยการตีความ คือสิ่งที่เรารับรู้นั้นมีอิทธิพลอย่างสูงจากประสบการณ์ที่เคยมีมาก่อน และจากความคาดหวังของเราบุคคลที่มักจะมีอาการประสาทหลอน คือบุคคลที่ได้คะแนนสูงในการทดสอบทางจิตวิทยาที่วัดความบวกของ schizotypy[17]ผู้มักจะแจ้งถึงตัวกระตุ้นที่ไม่ได้มีจริง ๆ ภายใต้สภาพการทดลองที่มีการรับรู้ที่คลุมเครือ[18][19]

ภายใต้การทดสอบเพื่อตรวจจับคำที่กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วทางตานักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่ได้คะแนนสูงจากการวัดความบวกของ schizotypyจะมีอัตราสูงในการรับรู้คำที่ไม่มีคือแจ้งว่า เห็นคำที่ไม่ได้ปรากฏในระหว่างการทดลอง[20] การได้คะแนนสูงเมื่อวัดความบวกของ schizotypy ดูเหมือนจะเป็นตัวพยากรณ์การรับรู้ที่ไม่ตรงกับความจริงในการทดลองในห้องแล็บแต่ตัวแปรบางอย่างเช่น จำนวนตัวกระตุ้น (perceptual load)[21] และความถี่ (คือความเร็ว) ของตัวกระตุ้นที่ปรากฏ[22] ก็มีควาสำคัญระดับวิกฤติเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ผิดไปจากความจริงด้วยคือ ถ้าการตรวจจับสิ่งที่ต้องการหาไม่ต้องใช้ความพยายามมาก หรือถ้าการรับรู้ถึงสิ่งนั้นต้องอาศัยการแปลผลในระบบต่าง ๆ ของสมองมากปรากฏการณ์นี้ก็จะไม่เกิดขึ้น[23]

เสียงหลอน

เสียงหลอน โดยเฉพาะที่เป็นเสียงพูดมักเข้าใจกันว่าเป็นอาการเฉพาะอย่างหนึ่งของคนไข้โรคจิตเภทแต่จริง ๆ แล้ว บุคคลปกติก็รายงานถึงการได้ยินเสียงหลอนในระดับที่น่าแปลกใจเหมือนกันยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยเบ็นทอลล์และนักวิจัยสเลด[24] พบว่า อัตราร้อยละ 15.4 ของนักศึกษาชายจำนวน 150 คนกล้าที่จะยืนยันความนี้ว่า "ในอดีต ผมได้ประสบการได้ยินเสียงของคน แต่กลับพบว่าไม่มีคนอื่นในที่นั้น"นักวิจัยทั้งสองยังกล่าวต่อไปอีกว่า

... ไม่น้อยกว่า 17.5% (ของนักศึกษา) พร้อมที่จะตอบคำถามนี้ว่า "ผมบ่อยครั้งได้ยินเสียงที่กล่าวความคิดของผมออกมาให้ได้ยิน" ด้วยคำตอบว่า "เป็นอย่างนี้จริง ๆ "(แต่ว่า จริง ๆ แล้ว) การได้ยินแบบสุดท้ายนี้ปกติจะได้รับการพิจารณาว่า เป็นอาการเบื้องต้นของโรคจิตเภท

นักวิจัยกรีนและ ดร. แม็คเครียรี[25] พบว่า 14% ผู้ตอบคำถามอาสาสมัครแจ้งการได้ยินหลอนแบบล้วน ๆและเกือบครึ่งหนึ่งของบุคคลเหล่านั้น ได้ยินเสียงพูดทั้งที่ชัดเจนและไม่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่งก็คือนายวิศวกรคนหนึ่งซึ่งต้องทำการตัดสินใจทางอาชีพที่ยากอย่างหนึ่งผู้ซึ่งเมื่อกำลังอยู่ในโรงหนังได้ยินเสียงพูดที่ "ดังและชัดเจน" ว่า "คุณรู้ไหมว่า คุณทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก"นายวิศวกรคนนั้นกล่าวเพิ่มอีกด้วยว่า

เสียงนั้นชัดเจนกังวานดีจนกระทั่งว่าผมต้องหันไปมองเพื่อนของผมผู้ที่กำลังดูหนังอยู่อย่างเพลิดเพลินผมรู้สึกอัศจรรย์ใจแต่ก็สบายใจด้วยเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่ามีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนั้น[26]

กรณีนี้เป็นเหมือนตัวอย่างที่นักวิจัยโพซี่และลอสช์[27] เรียกว่า "ได้ยินเสียงปลอบโยนหรือให้คำแนะนำที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความคิดของตนเอง"ซึ่งพวกเขาประมาณว่า ร้อยละ 10 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอเมริกันในกลุ่มการทดสอบของพวกเขาได้พบกับประสบการณ์เช่นนี้

ความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

นี้เป็นประสบการณ์ที่ขัดแย้งกันที่บุคคลมีความรู้สึกที่ชัดเจนว่า มีคนอื่นอยู่ด้วย เป็นคนที่บางครั้ง รู้จัก บางครั้ง ไม่รู้จัก แต่ว่า ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ๆ จากประสาทสัมผัส

นักจิตวิทยาและนักปรัชญาชาวอเมริกันยุคศตวรรษที่ 19 ชื่อว่า วิลเลียม เจมส์ พรรณนาประสบการณ์เช่นนี้ไว้ว่า

จากคำของคนที่มีประสบการณ์นี้ว่าเป็นความรู้สึกในใจที่แน่นอนและมั่นใจประกอบพร้อมกับความเชื่อว่ามีบุคคลนั้นอยู่ในที่นั้นจริง ๆ เป็นความเชื่อที่มีกำลังเท่าที่จะมีได้เหมือนได้รับข้อมูลทางประสาทสัมผัสแม้ว่า จริง ๆ แล้ว จะไม่มีข้อมูลจากประสาทสัมผัสปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากความคิดล้วน ๆแต่ที่มาประกอบพร้อมกับกับความรู้สึกเร่งเร้าที่ปกติจะมากับความรู้สึกทางประสาทสัมผัส[28]

คำอธิบายต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของประสบการณ์ประเภทนี้

สามีของดิฉันเสียชีวิตไปในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1945 ต่อมาวันหนึ่งหลังจากนั้นอีก 26 ปี ในขณะที่ดิฉันอยู่ที่โบสถ์ดิฉันรู้สึกว่าเขากำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเมื่อกำลังร้องเพลงสวดอยู่ดิฉันรู้สึกว่า ถ้าหันหน้าไปทางนั้นก็จะเห็นเขาความรู้สึกนี้มีกำลังมากจนดิฉันถึงกับร้องไห้และดิฉันก็ไม่ได้คิดถึงเขาจนกระทั่งรู้สึกว่าเขามาอยู่ที่ข้าง ๆ ดิฉันไม่ได้เคยมีความรู้สึกแบบนี้ และความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกตั้งแต่นั้น[29]

ประสบการณ์เช่นนี้มีลักษณะเหมือนกับประสาทหลอนยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ นักวิจัยสเลดและเบ็นทอลล์ได้เสนอความหมายของคำว่า ประสาทหลอน (อังกฤษ: hallucination) ไว้ว่า

ประสบการณ์เหมือนกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสที่

  1. เกิดโดยไม่มีตัวกระตุ้นที่เหมาะสม
  2. มีกำลังหรือผลเหมือนกับมีการรับรู้ทางประสาทสัมผัสนั้นจริง ๆ
  3. ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจใต้การบังคับของคนที่ประสบความรู้สึกเช่นนั้น[30]

ประสบการณ์ที่เพิ่งกล่าวถึงมีลักษณะที่ 2 และที่ 3 ของคำนิยามนั้นนอกจากนั้น อาจจะสามารถเพิ่มลักษณะอีกอย่างหนึ่งได้ด้วย คือบุคคลที่เหมือนกับจะมีจะอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง ๆ ที่ชัดเจนภายในสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวโดยนัยนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า ประสบการณ์นี้มีลักษณะหลอนมากกว่าประสบการณ์อย่างอื่น ๆ เช่น สิ่งที่เห็นก่อนจะหลับหรือก่อนจะตื่น ที่อาจจะรู้สึกโดยเป็นวัตถุภายนอกแต่เป็นวัตถุภายนอกที่อยู่ในจิตใจของตน[31][32]

ความรู้สึกถึงคนตาย

ความรู้สึกถึงญาติที่พึ่งตายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนหรืออาจจะเป็นความรู้สึกแบบคลุมเครือว่ามีอยู่นักวิจัยรีซ[33] ทำการสัมภาษณ์คนม่าย 293 คนผู้อาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศเวลส์พบว่า 14% มีประสาทหลอนทางตาเกี่ยวกับคู่ครองที่จากไป13.3% มีประสาทหลอนทางหู และ 2.7% มีประสาทหลอนทางสัมผัสแต่ว่า มีความเหลื่อมล้ำกันบ้างในระหว่างกลุ่มบุคคลเหล่านั้นเพราะว่าบางคนมีประสาทหลอนมากกว่าทางประสาทสัมผัสเดียวที่น่าสนใจก็คือ ในหัวข้อก่อน (ความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย) มี 46.7% ของผู้ที่ได้รับการสำรวจทั้งหมดที่แจ้งความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไปและแม้งานศึกษาอื่น ๆ ที่ศึกษาความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ก็พบว่าประมาณ 50% มีความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไปแล้วเหมือนกัน[34][35]

การมีความรู้สึกถึงคนที่ตายไปแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้ามเชื้อชาติแต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีการถือเอาต่าง ๆ กันตามวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม[36] ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษายุคต้น ๆ ที่สุดงานหนึ่งที่พิมพ์ในวารสารชาวตะวันตกที่มีการตรวจสอบโดยผู้มีความชำนาญสาขาเดียวกันได้ทำการตรวจสอบประสบการณ์ของคนม่ายชาวญี่ปุ่นแล้วพบว่า 90% มีความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไป[37] แต่ว่า โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของชาวตะวันตก คนม่ายเหล่านั้นไม่ได้วิตกกังวลถึงความผิดปกติทางจิตของตน แต่อธิบายปรากฏการณ์นั้นตามคำสอนศาสนาของตน

ในโลกตะวันตก งานศึกษาที่กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากความคิดเชิงจิตวิเคราะห์ และมักจะพิจารณาปรากฏการณ์เหล่านั้นว่าเป็นพฤติกรรมเชิงปฏิเสธตามเชิงการวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ที่กล่าวไว้ในบทความ "Mourning and Melancholia (การไว้ทุกข์กับความหดหู่เศร้าใจ)" โดยเป็นการ "ยึดถือบุคคล (หรือวัตถุ) นั้นไว้ สื่อโดยอาการโรคจิตที่เป็นประสาทหลอน ที่เป็นไปตามความอยากจะให้เป็นอย่างนั้น"[38]

ส่วนในช่วงทศวรรษที่พึ่งผ่าน ๆ มานี้ โดยต่อยอดหลักฐานสากลว่าประสบการณ์เช่นนี้เป็นการปรับตัว สมมุติฐานว่าเป็นความสัมพันธ์ทางใจที่ยังไม่ขาด ที่เสนอโดยคณะของนักวิจัยคลาส (1996)[39] เสนอว่า ประสบการณ์เช่นนี้สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องปกติและอาจเป็นตัวช่วยให้เกิดการปรับตัว แม้ในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกได้ด้วย

ดังนั้น ตั้งแต่งานศึกษาของคลาสมา ได้มีงานศึกษาต่อ ๆ มาที่ได้พรรณนาโดยมากถึงประโยชน์ที่ได้จากประสบการณ์อย่างนี้ โดยเฉพาะเมื่อสามารถสร้างความเข้าใจได้โดยใช้คำสอนของศาสนา[40][41] แม้ว่า โดยมากประสบการณ์อย่างนี้มักจะทำให้ผู้ประสบเกิดความสบายใจแต่ว่า ยังมีบุคคลจำนวนหนึ่งแม้จะน้อย ที่ได้ประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึงดังนั้น ก็ยังมีงานวิจัยที่กำลังเป็นไปอยู่ เช่นของนักวิจัยฟิลด์และนักวิจัยอื่น ๆ[42] เพื่อศึกษาว่า เมื่อไรความสัมพันธ์ทางใจที่ยังไม่ขาดอย่างนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประสบและเมื่อไร อาจจะมีผลเสีย

ใกล้เคียง

ประสบการณ์ผิดธรรมดา ประสบการณ์ ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ความเปิดรับประสบการณ์ ประสาทสัมผัส ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประสงค์ สุ่นศิริ ประสาทสัมพันธ์แห่งการรับรู้อารมณ์ ประสาทหลอนเสียงดนตรี ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์