ปลาหางไหม้ หรือที่นิยมเรียกกันว่า
ปลาฉลามหางไหม้ (
อังกฤษ: Burnt-tailed barb, Siamese bala-shark;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Balantiocheilos ambusticauda) เป็น
ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ใน
วงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae)ปลาหางไหม้ มีรูปร่างและทรวดทรงที่เพรียวยาว ตาโต ปากเล็ก ขยับปากอยู่ตลอดเวลา ใต้คางมีแผ่นหนังเป็นถุงเปิดออกด้านท้าย ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กสัดส่วนของครีบทุกครีบเหมาะสมกับลำตัว โดยเฉพาะครีบหางซึ่งเว้าเป็นแฉกลึก สีของลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ด้านหลัง
สีเขียวปน
เทา ครีบหลัง ครีบท้อง ครีบก้นและครีบหาง
สีส้มแดงและขอบเป็นแถบ
ดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวมาก และกระโดดขึ้นได้สูงจากน้ำมาก มีขนาดโตเต็มราว 20–30
เซนติเมตรนิยมอยู่เป็นฝูง หากินตามใต้พื้นน้ำ ในอดีตพบชุกชุมในเขตที่ราบลุ่ม
แม่น้ำเจ้าพระยา ใน
ประเทศไทย แต่ปัจจุบันไม่พบแล้ว เชื่อว่าได้
สูญพันธุ์ไปจนหมดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากการจับจากธรรมชาติเพื่อจำหน่ายเป็นปลาสวยงาม
[2] แต่ก็เพียงข้อสันนิษฐาน
[3] โดยถือว่าเป็น
สิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว แม้จะมีรายงานพบในลุ่ม
แม่น้ำโขง ใน
เวียดนาม,
กัมพูชา และ
ลาว แต่ทว่าก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน และไม่เป็นที่ยอมรับจาก
IUCN[3][1] ซึ่งในอดีตปลาหางไหม้ได้ถูกใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ร่วมกับ
ปลาฉลามหางไหม้ชนิดที่พบใน
ประเทศอินโดนีเซีย (B. melanopterus) และถูกใช้ชื่อวิทยาศาสตร์และข้อมูลนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งในปี
ค.ศ. 2007 มีการจัด
อนุกรมวิธานกันขึ้นมาใหม่
[3] โดย
ตัวอย่างต้นแบบแรกถูกเก็บโดยนักมีนวิทยาชาวเยอรมัน รอล์ฟ ไกสเลอร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 ที่
บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ และตัวอย่างเพิ่มเติมถูกเก็บโดย โรดอล์ฟ เมเยอร์ เดอ เชาเวินซี ในปี ค.ศ. 1936 โดย เอ็ม. ฮาร์มันด์ ในปี ค.ศ. 1883 และโดย มารี เฟิร์มง โบคอร์ต ในปี ค.ศ. 1862 แต่ในทัศนะของ
กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง
ปลาน้ำจืดและ
สัตว์น้ำชาวไทย ซึ่งเป็นผู้ที่พบปลาหางไหม้ตัวสุดท้ายในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณสวน
ส้มบางมด ใน
เขตราษฎร์บูรณะ เมื่อปี
ค.ศ. 1986 เห็นว่าปลาหางไหม้ ไม่น่าจะมีครีบต่าง ๆ เป็นสีแดงส้ม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงมีการแยกชนิดกันชัดเจนมานานแล้ว แต่น่าจะเป็นมีแถบดำบริเวณครีบต่าง ๆ นั้นน้อยกว่าส่วนที่เป็นสีเหลืองอมขาว และมีส่วนหัวที่ทู่สั้นกว่า
[4]นอกจากนี้แล้ว ปลาหางไหม้ ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาหางเหยี่ยว" หรือ "ปลาหนามหลังหางดำ"