ปลานวลจันทร์ทะเล หรือ
ปลานวลจันทร์ เป็น
ปลาทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยใน
น้ำกร่อยหรือ
น้ำจืดได้ มี
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chanos chanos อยู่ในวงศ์ Chanidae ซึ่งถือเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ใน
วงศ์นี้และ
สกุลนี้
[2]ปลานวลจันทร์ทะเลมีรูปร่างเพรียวยาว เกล็ดเล็กละเอียดสีเงินแวววาว ครีบหางเว้าลึก ครีบท้องและครีบหลังเล็ก เป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไว พบได้ตามชายฝั่งทะเลแถบอบอุ่นทั่วภูมิภาคของโลก มักอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารได้แก่ ปลาอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ รวมถึง
สาหร่ายทะเลด้วย มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1.5 เมตร ในประเทศไทยพบมากที่แถบ
จังหวัดเพชรบุรี,
ประจวบคีรีขันธ์,
ชุมพร และบางส่วนใน
จังหวัดตราด โดยมีการสำรวจพบครั้งแรกที่บ้านคลองวาฬ
อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
[3]ลูกปลาวัยอ่อนจะเข้ามาอาศัยเจริญเติบโตใน
ป่าชายเลน ในราวเดือนเมษายน–พฤษภาคม การที่จะนำลูกปลาไปเลี้ยงในบ่อเพื่อเป็นปลาเศรษฐกิจจะกระทำในช่วงเวลานี้ โดยปลาจะวางไข่ในเวลากลางคืน ไข่เป็นแบบไข่ลอย มีสีเหลืองอ่อน ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 36 ชั่วโมง ลูกปลาในระยะแรกจะมีลำตัวใส และจะพัฒนาการเหมือนตัวเต็มวัยในอายุราว 21 วัน ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 7 เดือนก็สามารถจับขายได้ ในต่างประเทศ เช่น
ประเทศฟิลิปปินส์มีการเลี้ยงอย่างแพร่หลาย และยังส่งลูกปลาไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เช่น
สหรัฐ,
ไต้หวัน ที่นั่นนิยมรับประทานปลานวลจันทร์ทะเลด้วยการแปรรูปเป็นลูกชิ้นเนื้อปลา ส่วนหัวและท้องนิยมต้มใส่ขิงรับประทาน
[3] ชาวฟิลิปปินส์รู้จักปลาชนิดนี้เหมือนที่
ชาวไทยรู้จัก
ปลาทู[4] นอกจากจะใช้บริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจแล้ว ยังนิยมตกเป็น
เกมกีฬาและเลี้ยงเป็น
ปลาสวยงามด้วยการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 จากการที่
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลในเชิงพาณิชย์ หลังจากที่ได้ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายพันธุ์
ปลานิลจาก
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะแห่งญี่ปุ่นแล้ว จึงเริ่มมีการเพาะเลี้ยงโดยมีการนำปลาส่วนหนึ่งที่จับได้จากธรรมชาติไปทดลองเลี้ยงในอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน ในโครงการพระราชดำริ และนำลูกปลาไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ แต่ด้วยองค์ความรู้ทางการประมงในขณะนั้นยังมีไม่เพียงพอ เรื่องการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลก็ได้ถูกลืมเลือนหายไป จนกระทั่งในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อปี พ.ศ. 2544 จึงมีรับสั่งเรื่องปลานวลจันทร์ทะเลอีกครั้ง กรมประมงจึงทำการศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจังจนกระทั่งประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2553 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2556 จึงเริ่มถ่ายองค์ความรู้นี้แก่ชาวประมงเกษตรกรได้ นอกจากการบริโภคสดแล้ว ปลานวลจันทร์ทะเลยังสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ปลากระป๋อง, ลูกชิ้น, ปลานวลจันทร์ทะเลตากแห้งหรือแดดเดียว, ปลานวลจันทร์ทะเลต้มเค็ม หรือทำเป็นน้ำยารับประทานคลุกกับ
ขนมจีน เป็นต้น
[5]ปลานวลจันทร์ทะเลยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า "ปลาดอกไม้", "ปลาชะลิน" หรือ "ปลาทูน้ำจืด" เป็นต้น
[6]