วิวัฒนาการของปืนคาบศิลา ของ ปืนคาบศิลา

ในคริสต์ศตวรรษที่15 ทหารราบของยุคกลางได้มีการใช้อาวุธดินปืนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปืนใหญ่ที่ยิงด้วยมือ" ถึงอย่างไรก็ดีอาวุธดังกล่าวก็ยุ่งยากในการใช้ซึ่งต้องใช้เวลานานในการบรรจุกระสุนปืนและไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพในการยิง เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เริ่มมีการประดิษฐ์ปืนสั้นขึ้นและในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปืนคาบศิลาก็ได้เข้ามาแทนที่หอกยาวซึ่งเคยเป็นอาวุธหลักของทหารราบในสมัยนั้น ปืนคาบศิลาในสมัยศตวรรษที่ 16 เรียกว่า อาร์กิวบัส (Arquebus) หรือปืนคาบชุด กลไกของปืนชนิดนี้คือใส่ดินปืนลงบนจานดินปืนแล้วใส่กระสุนกลมๆ และดินปืนทางปากกระบอกปืนแล้วกระทุ้งให้ดินปืนและกระสุนไปอยู่ในรังดินปืนทางท้ายลำกล้อง เมื่อเหนี่ยวไกก็จะมีเหล็กรูปงูตีที่จานดินปืนจะเป็นการจุดสายชนวนไปที่ท้ายลำกล้องทำให้ดินปืนระเบิดขึ้น แรงระเบิดจะทำให้กระสุนพุ่งออกไปทางปากลำกล้องอย่างรวดเร็ว

ปืนสั้นแบบลูกล้อ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีการพัฒนาปืนคาบชุดเป็น "ปืนสั้นแบบลูกล้อ" (Wheellock) แต่อย่างไรก็ดีปืนคาบชุดก็มีข้อเสียอยู่มากเช่น บรรจุกระสุนช้า มีความแม่นยำน้อย ไม่สามารถใช้ได้เมื่ออากาศชื้นเพราะจะทำให้จุดชนวนดินปืนไม่ติด แต่อย่างไรก็ตามปืนคาบชุดก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามของยุโรป และทำให้กษัตริย์ยุโรปมีสถานภาพมั่นคงขึ้นเพราะทำให้มีผู้ก่อกบฏยากเนื่องจากสงครามที่ใช้ปืนไฟจะเสียค่าใข้จ่ายในการรบสูงมาก ปืนคาบชุดสามารถทำให้อาณาจักรที่สำคัญล่มสลายเช่นอินคา เอซเท็คเป็นต้นแต่มันก็สามารถสร้างอาณาจักรให้มีเอกราชได้ เช่นจักรวรรดิรัสเซียสามารใช้ปืนไฟขับไล่มองโกลออกไปได้แล้วสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟ(Romanov) ขึ้น ต่อมาได้มีการดัดแปลงปืนคาบชุดให้พกพาได้สะดวกขึ้นเป็นปืนสั้นซึ่งเป็นที่นิยมของทหารม้าในสมัยนั้น

ทหารปืนคาบชุดของเนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่17 ปืนบราวเบสแบบสั่นสำหรับทหารบกของจักรวรรดิอังกฤษในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18และในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปืนสั้นในศตวรรษที่ 16

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้มีการพัฒนาปืนไฟแบบคาบชุด ให้เป็นปืนคาบศิลา (Flintlock อ่านว่าฟรินท์ล็อก) ขึ้น ซึ่งมีกลไกคือใส่หินเหล็กไฟที่ตัวนกของปืนแล้วบรรจุกระสุนและดินปืนทางปากกระบอกแล้วกระทุ้งจากนั้น เมื่อเหนี่ยวไกเหล็กรูปนกสับหินเหล็กไฟทำให้เก็ดประกายไฟลามไปที่รังดินปืนทางท้ายกระบอกทำให้ดินปืนระเบิดและผลักกระสุนให้พุ่งไปข้างหน้า ต่อมาอาวุธชิ้นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักของกองทัพยุโรปและอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์เกลียวในลำกล้องทำให้กระสุนพุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง มีพิสัยไกลกว่าเดิม และมีความแม่นยำมากขึ้น และมีการประดิษฐ์แก๊บในตัวปืนทำให้ไม่ต้องคอยใส่ดินปืนอีกต่อไปเห็นได้จากสงครามไครเมีย การมีกล้องเล็งซึ่งทำมองเห็นเป้าหมายในระยะที่ใกล้และแม่นยำทำให้เกิดหน่วยซุ่มยิงขึ้น เห็นได้จากสงครามกลางเมืองอเมริกา