ปืนคาบศิลาในเอเชีย ของ ปืนคาบศิลา

จักรวรรดิออตโตมาน

ทหารแจนนิศซารี่ของอาณาจักรออตโตมาน

ในการระดมยิงกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ทหารชาวเติร์กก็ใช้ปืนใหญ่และปืนคาบชุดรุ่นแรก ๆ ในการระดมยิงกำแพงเมืองทั้งจากทางบกและทางเรือ ในการรบขยายอาณาจักรของสุลต่านสุไลมานปืนคาบชุดก็เป็นอาวุธสำคัญในการปิดล้อมเมืองเห็นได้จากสงครามฮับส์เบิร์ก-ออตโตมาน ทหารปืนคาบชุดของจักรวรรดิออตโตมานเรียกว่าแจนนิสซารี่ซึ่งส่วนใหญ่จะสืบเชื้อสายมาจากพลทหารอาร์เมเนียน และ จอร์เจียน ที่ถูกจับมาเป็นทาสเชลย และแม่ทัพของอาณาจักรออตโตมานส่วนใหญ่จะครอบครองปืนสั้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของจักรวรรดิออตโตมานจนเมื่อจักรวรรดิปฏิรูปการทหารในทศวรรษที่1830

เปอร์เซีย

จากหลักฐานการบันทึกของพ่อค้าชาวเวนิสได้พบว่าปืนคาบชุดได้แพร่หลายในอาณาจักรเปอร์เซียอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการค้ากับยุโรปและทหารม้าของราชวงศ์ซาร์ฟาวิดของเปอร์เซียจะนิยมพกปืนคาบชุดทุกคน ปืนคาบชุดของเปอร์เซียจะมีลวดลายประณีตบรรจงมาก ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของเปอร์เซียจนเมื่อราชวงศ์ซาร์ฟาวิดล่มสลาย

อินเดีย

พลปืนโมกุลในช่วงตันศตวรรษที่ 16

ในอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุลเริ่มปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1510 ซึ่งในสมัยนี้พระเจ้าบาบูร์และพระเจ้าอัคบาร์ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลักของทหารราบในการปราบปรามหัวเมืองฮินดูและมุสลิมของเจ้าผู้ครองแคว้นทางภาคใต้ เสียงของปืนคาบศิลายังทำให้ช้างหลายเชือกของฝ่ายหัวเมืองทางใต้ตกใจอีกด้วยทำให้อาณาจักรโมกุลสามารถรวบรวมอินเดียเป็นเอกภาพในสมัยพระเจ้าอัคบาร์มหาราช ปืนไฟของโมกุลจะเป็นแบบคาบชุดซึ่งเป็นงานหัถกรรมอย่างหนึ่งมีการตีเหล็กอย่างประณีตไม่ได้มีการใช้เหล็กหล่อเหมือนทางตะวันตก ต่อมาเมืออินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทางข้าหลวงชาวอังกฤษได้จัดตั้งทหารซีปอยซึ่งมีการจัดระเบียบแบบอังกฤษมีอาวุธหลักเป็นปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกหรือปืนนกสับจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่

ญี่ปุ่น

ปืนคาบชุดของญี่ปุ่นในศตวรรษที่16

ญี่ปุ่นได้เผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกเมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านรุกรานญี่ปุ่นในปี 1259 ในสึชิมะ ต่อมาในปี 1543 ได้มีเรือโปรตุเกสเข้ามาเทียบท่านำโดยนักบวชชื่อ "ฟือร์เนา เมงดิช ปิงตู" ชาวโปรตุเกสได้นำปืนไฟแบบคาบชุดมาด้วย ไดเมียวโอะดะ โนะบุนะงะได้ซื้อปืนคาบชุดของชาวโปรตุเกสมาศึกษากลไกแล้วให้ช่างเหล็กตีเลียนแบบจนกระทั่งสามารถผลิตปืนคาบชุดได้มากที่สุดในโลกและสามารถสร้างกองทหารที่เกณฑ์มาจากชาวนาหรือ "อาชิการุ ((あしがる))" ที่ติดอาวุธปืนเหมือนชาวยุโรปได้เป็นจำนวนมาก จนเมื่อปี 1575 โนะบุนางะได้นำทหารอาชิการุที่ติดอาวุธปืนยึดปราสาทนางาชิโนได้ ยุทธวิธีของโอดะคือแบ่งทหารอาชิการุเป็นสามแถวอยู่หลังรั้วไม้ เมื่อแถวแรกยิงทหารม้าของทาเคดะแล้วบรรจุกระสุนใหม่แถวที่สองเข้ามายิงต่อเมื่อแถวที่สองบรรจุกระสุนแถวสามจะยิงทำให้ทหารม้าของทาเคดะตายเป็นจำนวนมาก อาวุธของทหารม้าเป็นอาวุธแบบเดิมคือธนู "ยูมิ" และดาบคาตานะ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้โอดะได้ตั้งตนเป็นโชกุน เมื่อโนะบุนางะถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิได้รับตำแหน่งโชกุนแทน ต่อมาเมื่อปี 1592 ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี ญี่ปุ่นได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลักในการรบแต่ต่อมาญี่ปุ่นต้องถอยทัพกลับเพราะโตโยโตมิถึงแก่อนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาเมื่อโชกุน โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ดำเนินนโยบายปิดประเทศในปี 1603 ห้ามทำการค้ากับชาวต่างชาติและห้ามนำเข้าและผลิตอาวุธปืนเพราะอาจจะทำให้สถานภาพของโชกุนไม่มั่นคง ทำให้ปืนคาบศิลาแบบคาบชุดอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเพียงห้าทศวรรษเท่านั้น จนกระทั่งในปี 1854 นายพลแมททิว เปอร์รี่บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ทำการยึดอำนาจของโชกุน โทะกุงะวะ โยะชิโนะบุและจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่มีการนำเข้าปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ต่อมาญี่ปุ่นสามารถผลิตเองได้เป็นจำนวนมากและปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลักของญี่ปุ่นจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่

จีน

จีนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้น ปืนที่เป็นต้นแบบของปืนคาบศิลาที่จีนประดิษฐ์ขึ้นมีลักษณะคล้ายปืนคาบศิลาแต่มีวิธียิงเหมือนปืนใหญ่ อาวุธปืนของจีนมักจะไม่ได้รับการพัฒนาเพราะในการรบกับชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือจีนก็มีกำแพงเมืองจีนป้องกันอยู่แล้วและบ้านเมืองช่วงนี้มักจะสงบและในการรบจีนมักจะตั้งรับมากกว่ารุกราน จีนเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อสงครามอิมจินในปี 1592-1598 เกิดขึ้น โชกุนโตโยโตมิรุกรานเกาหลีเพื่อยึดเกาหลีซึ่งเป็นอาณานิคมของจีน จีนได้ส่งกองทัพจำนวนมากไปช่วยเกาหลีและสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้หลายครั้งเพราะปืนคาบศิลาของโปรตุเกสที่ญี่ปุ่นใช้ในสมัยนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะสู้กับหน้าไม้กลของจีนได้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง อาวุธปืนไม่แพร่หลายในจีนมากนักจนเมื่อปี่ 1839 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง จีนทำสงครามฝิ่นกับอังกฤษอังกฤษยกพลขี้นบกที่แหลมเกาลูนแล้วใช้ปืนคาบศิลายิงทหารจีนตายเป็นจำนวนมาก จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จีนจึงจัดตั้งกองทัพ "เป่ย์หยาง" และ "หนานหยาง" ขึ้นซึ่งมีการบริหารกองทัพเป็นแบบยุโรปมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ในการระดมยิงจากกำแพงกองทัพเป่ย์หยางจะใช้ปืนคาบศิลาขนาดใหญ่ยิงลงจากกำแพงเรียกว่า"จินกอล" เห็นได้จากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1ปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลักของจีนจนกระทั่งสงครามกบฏนักมวยที่จีนซื้อลิขสิทธิ์ปืนเล็กยาวของเยอรมันมาผลิตเอง

เกาหลี

ปืนคาบชุดเกาหลี"โจชอง"และปืนใหญ่เกาหลี"ฮงยี่เปา"

เกาหลีได้รู้จักกับปืนคาบศิลาครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โชซ็อนเมื่อครั้งญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีปี 1592-1598 (แต่ก่อนหน้านั้นกองทัพเกาหลียังคงใช้พลธนูและปืนคาบชุดแบบจีนและมีการตั้งกองปืนขึ้นแต่ก็ไม่ได้รับความไว้วางใจประสิทธิภาพของมันจึงยกเลิกไป) ถึงแม้ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้แต่แม่ทัพลีซุนชินก็เสียชีวิตจากกระสุนปืนคาบศิลา เกาหลีตระหนักดีว่าปืนคาบศิลาก่อให้เกิดความได้เปรียบในการรบ จึงจัดตั้งหน่วยปืนคาบศิลาขึ้นโดยใช้ในกององครักษ์ หรือใช้เป็นหลักพอๆกับธนูในการทำศึก ต่อมาปี 1627 เผ่าแมนจูจากจีนรุกรานเกาหลีเป็นครั้งแรกกองกำลังปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายกองทหารม้าของแมนจูซึ่งมีจำนวนมากกว่าจนแตกพ่ายต่อมาจีนมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับร้สเซียในแมนจูเรีย จึงขอกำลังหน่วยปืนคาบศิลา 400 นายของเกาหลีมารบซึ่งกองปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายทหารม้าคอสแซกของรัสเซียได้อย่างง่ายดายต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นพยายามมีอำนาจเหนือเกาหลีโดยมอบปืนคาบศิลาให้กบฏตงฮักซึ่งพยายามต่อต้านชนชั้นยางบานซึ่งเป็นชนชั้นสูงและขุนนางหัวเก่าของเกาหลี กบฏตงฮักต้องการปฏิรูปเกาหลีให้ทันสมัยโดยเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างจึงจับกุมพระเจ้าโกจง แล้วก็ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธในการบุกพระราชวังด้วย

ไทย

ประเทศไทยรู้จักกับปืนคาบชุดในกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากชาวโปรตุเกส "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นปืนคาบชุดถูกใช้ครั้งแรกเมื่ออาณาจักรล้านนาคิดแข็งเมือง ทางอยุธยาจึงส่งกำลังไปปราบและได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธในครั้งนี้ด้วย ต่อมาเกิดสงครามเมืองเชียงกรานกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบจนชนะ อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบเรื่อยมาปืนคาบชุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนี้คือพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุรกรรมาตาย และหลังจากนั้นปืนคาบชุดก็มีใช้กองทัพสยามจวบจนสมัยรัตนโกสินตร์ ในขณะที่ในบรรดาประเทศข้างเคียงหันไปใช้ปืนคาบศิลากันเป็นปืนประจำการสิ้นแล้ว อาทิ พม่า ปืนคาบศิลาจึงมีใช้ในหมู่ขุนนางที่มีฐานะ และชนชั้นเจ้า ด้วยเหตุว่า มีราคาแพง และต้องสั่งจากนำเข้าหินเหล็กไฟ ซึ่งใช้ทำปฏิกิริยากับดินปืนซึ่งมีราคาแพงอีกเช่นกัน และประการสุดท้ายคือ ฝึกยิงและทำความเข้าใจได้ยากกว่า การยิงปืนคาบชุด นั่นเอง