ป่าพรุ (
อังกฤษ: Swamp forest, Peat swamp forest) เป็นประเภทของ
ป่าดิบชื้นประเภทหนึ่ง ที่อยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม เกิดจาก
แอ่งน้ำจืดเกิดขังตัวติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีการสะสมของชั้นดินอินทรีย์วัตถุ เช่น ซากพืช, ซากสัตว์, เศษซากของต้นไม้ ใบไม้ ต่าง ๆ จนย่อยสลายช้า ๆ กลายเป็นดิน
พีตหรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือน
ฟองน้ำที่มีความหนาแน่นน้อยอุ้มน้ำได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีตกับดินตะกอนทะเลสลับกันชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจาก
น้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการสะสมของตะกอนน้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์
ไม้ในป่าพรุตายลงไป และเกิดเป็น
ป่าชายเลนขึ้นมาแทนที่ เมื่อระดับน้ำทะเลลดลง และมี
ฝนตกลงมาสะสมน้ำที่ขังอยู่จึงจืดจางลง และเกิดป่าพรุขึ้นมาอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปีสภาพโดยทั่วไปของป่าพรุ นั้น คือ พื้นด้านล่างจะเป็น
พรุมีน้ำขังตลอดทั้งปี น้ำจะมี
สีเขียวหรือ
น้ำตาลเข้ม อันเกิดจากการหมักหมมตัวมาอย่างยาวนานของซากพืช ซากสัตว์ น้ำจะมีสภาพเป็น
กรดมากกว่าค่าของน้ำปกติ (
pH ต่ำกว่า 7)
ระบบนิเวศในป่าพรุนั้นมีความหลากหลาย และเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกัน และให้ยืนตัวทรงอยู่ได้ ดังนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดต้นหนึ่งล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
[1]สำหรับใน
ประเทศไทย พื้นที่ที่มีป่าพรุเกิดขึ้นนั้น มักจะเป็นที่
ภาคตะวันออก และ
ภาคใต้ตั้งแต่
จังหวัดชุมพรลงไป และพบในบางส่วนบ้างของ
ภาคกลาง ในปัจจุบัน พื้นที่ป่าพรุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ
ป่าพรุสิรินธร หรือป่าพรุโต๊ะแดง ใน
จังหวัดนราธิวาส มีเนื้อที่กว่า 125,625
ไร่ หรือ 201
ตารางกิโลเมตร[2]ในอดีต เคยมีป่าพรุในประเทศไทยมากถึงกว่า 400,000 ไร่ กินเนื้อที่กว่า 50 ล้านไร่ แต่ได้ค่อย ๆ ลดปริมาณลงจากการถูกบุกรุกแผ้วถางทำ
การเกษตร จนปัจจุบันเหลือไม่ถึง 60,000 ไร่
[3]