ประวัติ ของ ฝันอเมริกัน

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ที่สำหรับผู้อพยพสู่อเมริกาเป็นครั้งแรกเห็นแล้วเกิดความประทับใจ ตัวเทพีแสดงออกถึงเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพส่วนบุคคลและเป็นสัญรูปอย่างสำคัญของความฝันอเมริกัน

นิยามโดยรวมของ “ความฝันอเมริกัน” ปรากฏครั้งแรกในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยเจมส์ ทรัสโลว์ อดัมส์ ชื่อ “มหากาพย์แห่งอเมริกา” (The Epic of America - พ.ศ. 2474

"ถ้าเป็นดังที่ข้าพเจ้าพูดที่ว่า ถ้าทุกสิ่งทุกย่างที่เราได้บันทึกไว้แล้วทั้งหมดคือสิ่งที่เราจะต้องให้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อเมริกาก็คงไม่ใช่ของขวัญที่ดีที่มีความเด่นเฉพาะสำหรับมนุษยชาติ แต่ก็มีความฝันอเมริกันที่เป็นความฝันถึงแผ่นดินที่ซึ่งจะให้ชีวิตที่ดีกว่า ให้ความร่ำรวยได้มากกว่าและให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีความสามารถ" [น. 404]

แต่อย่างไรก็ดี แนวคิดความฝันอเมริกันมีประวัติย้อนหลังไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณ พ.ศ. 2044พ.ศ. 2143 หรือระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเชษฐาธิราชกับรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช) โดยระหว่างคริสต์วรรษที่ 16-17 ได้มีการส่งเสริมให้ชาวอังกฤษย้ายไปตั้งถิ่นฐานในอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกา ภาษาที่จะใช้และสัญญาที่จะให้สิ่งต่างๆ แก่ผู้อพยพกลายเป็นพื้นฐาน 3 แนวทางของเรื่องปรัมปราอเมริกันที่เกี่ยวพันกันคือ: อเมริกามีทุกอย่างที่เหลือเฟือ, อเมริกาคือดินแดนแห่งโอกาส และอเมริกาเป็นดินแดนแห่งพรหมลิขิต [3] อเมริกาในฐานะเป็นดินแดนแห่งความเหลือเฟือปรากฏชัดเจนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2144 - พ.ศ. 2243) มากกว่าความฝันอเมริกันดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จุดกลางของความฝันอยู่ที่แผ่นดินที่ยังเป็นธรรมชาติของอเมริกา รวมทั้งคำถามที่ว่าจะต้องทำอย่างไรกับแผ่นดินนี้ และจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนผืนแผ่นดินอเมริกาได้อย่างไร [4]


คตินิยมของความฝันอเมริกัน

ไม่ว่าเนื้อหาของความฝันอเมริกันของแต่ละแนวจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดจะรวมความเชื่อในโอกาสที่จะมีความสำเร็จในรูปใดรูปหนึ่งซึ่งอาจเป็นความสำเร็จเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพก็ได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นถึงความฝันอเมริกันแนวต่างๆ ดังกล่าว จึงอาจเป็นการดีที่จะต้องนิยามวิธีการวัดความสำเร็จในแนวต่างๆ เหล่านั้นด้วย ในหนังสือเรื่อง “การเผชิญกับความฝันอเมริกัน: เชื้อชาติ, ชนชั้น, และจิตวิญาณของชาติ” เจนิเฟอร์ ฮอชส์ไชลด์ (Jennifer Hochschild) [5]ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเธอว่า นิยามของความสำเร็จเกี่ยวข้องกับทั้งการวัดและเนื้อหาของมัน เจนิเฟอร์ได้จำแนกความสำเร็จที่นับได้ว่ามีบรรทัดฐานสำคัญและมีการประพฤติปฏิบัติที่ตามมาออกเป็น 3 ประเภท

ความสำเร็จขั้นสัมบูรณ์ (Absolute success) - “ในกรณีนี้ การบรรลุความฝันอเมริกันส่อความหมายไปถึงการเข้าถึงขั้นเริ่มเปลี่ยนสู่ความอยู่ดีกินดีที่สูงกว่าที่เริ่มต้นแต่ก็ไม่ระดับโอ่อ่าหรูหรา "[6]

ความสำเร็จเชิงการแข่งขัน (Competitive success) – ความต้องการบรรลุถึงชัยชนะที่มีต่อผู้อื่น ความสำเร็จของฉันหมายถึงความล้มเหลวของเธอ ผู้แข่งขันส่วนใหญ๋คือตัวบุคคลซึ่งมีทั้งบุคคลที่เป็นที่รู้จักและมีตัวตน (เช่นคู่แข่งในวงการเทนนิส) หรือเป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จักและเป็นนามธรรม (เช่นการแข่งขันในการสมัครงาน) [7]

ความสำเร็จเชิงสัมพัทธ์ (Relative success) “ในกรณีนี้ การบรรลุถึงความฝันอเมริกันประกอบด้วยการดีกว่าผู้อื่นโดยการเปรียบเทียบกับผู้อื่นในบางแง่มุม หรืออาจเปรียบเทียบกับบุคคลหนึ่งตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก หรือกับบุคคลในประเทศบ้านเกิด กับตัวละครในหนังสือ กับคนเชื้อชาติอื่นหรือเพศอื่นหรือกับใครก็ได้ที่พอจะนำมาเปรียบเทียบด้วย ความสำเร็จเชิงสัมพัทธ์ไม่ส่อความไปถึงเส้นขีดเริ่มเปลี่ยนไปสู่ความกินดีอยู่ดี และอาจจะมีหรืออาจจะไม่มีการวางเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงในการเปรียบเทียบระดับแห่งความสำเร็จที่มีความต่อเนื่องก็ได้ [6]

แม้บางคนอาจเชื่อว่าความฝันอเมริกันยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่ในสังคม และเชื้อชาติ เพศ ระดับชั้นของสังคมและพื้นฐานของสังคมยังคงมีผลอย่างสำคัญต่อโอกาสในชีวิตอยู่บ้างก็ตาม ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นในความฝันอเมริกันอยู่มาก ถ้าเราถูกขอให้อธิบายความขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่เรามีอยู่และความจริงที่เป็นอยู่ พวกเราหลายคนก็คงพยามยามตอบไปโดยไม่ได้สืบย้อนกลับไปถึงที่ว่าเราเองได้เข้าใจในความฝันอเมริกันมาตั้งแต่ต้นอย่างไร วิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเข้าใจความฝันอเมริกันได้ดียิ่งขึ้น อาจได้แก่การศึกษากรอบงานที่ทำโดยฮอชส์ไชลด์ที่ได้กำหนดคตินิยมของความฝันอเมริกันไว้เป็นหลักของความสำเร็จ 4 ข้อ ตามมุมมองของโฮชไชลด์ หลักดังกล่าวเหล่านี้ได้บ่งชี้ถึงความฝันอเมริกัน รวมทั้งข้อบกพร่องที่มีอยู่ในตัวโดยการตอบคำถามเกี่ยวกับการไขว่คว้าหาความสำเร็จที่ยกมาดังนี้:

คำถาม ใครบ้างที่พอจะไขว่คว้าหาความสำเร็จในความฝันอเมริกันได้

คำตอบ- “ทุกคน ไม่ว่าจะมีกำเนิด มีพื้นฐานทางครอบครัวหรือมีประวัติส่วนตัวมาอย่างไร” (18) จุดบกพร่อง มีความล้มเหลว ไม่น่าเชื่อถือในแง่ของความเท่าเทียม เช่น ความลำเอียงด้านเชื้อชาติและเพศ (26)

คำถาม ไขว่คว้าหาอะไร?คำตอบ- “เป็นที่คาดหวังได้อย่างพอมีเหตุผล แม้จะไม่ประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จแน่นอน” (18). จุดบกพร่อง ล้มเหลวในการที่จะบอกได้แน่นอนถึงการขาดแคลนทรัพยากรและโอกาสที่จะเป็นขวากหนามให้ทุกคนมีโอกาสที่บรรลุความสำเร็จได้ตามที่คาดหวังไว้" (27)

คำถาม ไฝ่หาความสำเร็จกันอย่างไร?คำตอบ- “โดยการประพฤติปฏิบัติและการสืบสันดานโดยการควบคุมตนเอง” (18) จุดบกพร่อง มีการละเว้นความจริงที่ว่า ถ้ามีบุคคลผู้ที่จะอ้างว่าประสบความสำเร็จได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องยอมรับความรับผิดชอบในความล้มเหลว ดังนั้น ผู้ล้มเหลวจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เก่งและขาดกำลังใจ (30).

คำถาม ทำไมความสำเร็จจึงคุ้มกับการไขว่คว้า?คำตอบ- “ความสำเร็จที่แท้จริงมีความสัมพันธ์กับคุณธรรม” (18) จุดบกพร่องความล้มเหลวหมายถึงบาป นอกจากนี้ การลดค่าของผู้แพ้ลงทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าโลกมีแต่ความเสมอตัวทั้งๆ ที่ไม่ใช่ (30)

นอกเหนือไปจากจุดบกพร่องของบุคคลในแต่ละกลุ่มที่ฮอชส์ไชลด์ยืนยันที่ว่าจุดบกพร่องรวมใน คตินิยมความฝันอเมริกัน ก็คือการเน้นที่ “พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลมากกว่าความสำเร็จทางกระบวนการทางเศรษฐกิจ อุปสรรคด้านสิ่งแวดล้อม หรือโดยโครงสร้างทางการเมืองที่ใช้อธิบายระเบียบสังคม” (36) ฮอชส์ไชลด์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า ระเบียบสังคมเกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากสถาบันต่างๆ ของเรามีขึ้นเพื่อประกันความล้มเหลวบางส่วน และคตินิยมความฝันอเมริกันไม่ “ช่วยชาวอเมริกันให้รับได้หรือแม้แต่จะได้รู้ถึงความจริงอันนั้น” (37).

การอพยพครั้งแรกๆ

การอพยพมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ ในครั้งแรกๆ จะอยู่ในบริเวณแผ่นดินที่มีผู้คนเบาบางและยังไม่พัฒนา จนกระทั่งถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2400) ปริมาณของที่ดินที่จะมีให้แก่ผู้อพยพ การหมดไปของการครองที่ดินแบบชนาธิปไตยหรือโดยชนชั้นสูง และนโยบายของรัฐบาลกลางที่สนับสนุนสนับสนุนการตั้งถิ่นฐาน (โดยการกำจัด หรือ ย้ายชาวอินเดียนแดงที่เป็นชนพื้นเมือง และในบางกรณีมีการให้ที่ดินฟรีแก่ผู้อพยพ) เหล่านี้ หมายถึงการมีที่ดินได้โดยง่ายของผู้อพยพเกือบทุกคน มีการเก็งกำไรที่ดิน ดังที่มาร์ก ทเวนได้พรรณนาไว้ในหนังสือเรื่อง “ยุคทอง: เรื่องราวในวันนี้" ( The Gilded Age: A Tale of Today) รวมทั้งการยกที่ดินของรัฐเพื่อสาธารณประโยชน์ (Land grants) เพื่อให้นายทุนเจ้าของรถไฟได้สร้างความร่ำรวยมากขึ้น ในช่วงระหว่าคริสต์ศตวรรษที่ 19 รถไฟสายข้ามทวีปได้เปิดประตูสู่ตะวันตกเพื่อการค้าและการตั้งถิ่นฐาน มีการพัฒนาการผลิตจำนวนมากทางอุตสาหกรรมและการค้นพบน้ำมันที่มีมากมายมหาศาลที่สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานพื้นฐานเพื่อการผลิตเหล่านี้ ได้เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากแก่คนงานและนักธุรกิจ รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนอเมริกันให้สูงขึ้น ในศตวรรษที่ 19 เรื่องราวเกี่ยวกับ “จากกระยาจกสู่มหาเศรษฐี” ( rags to riches) เช่นเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์เนกี และจอห์น ดี. รอกกีเฟลเลอร์ รวมทั้งนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงเช่น ฮอเรโช อัลเจอร์ ได้สร้างความเชื่อที่ว่า ความสามารถและการทำงานหนักสามารถนำไปสู่ความมั่งคั่งได้

การเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและความอดหยากจากโรคระบาดมันฝรั่งในไอร์แลนด์ และการทำลายป่าในที่ราบสูงของสกอตแลนด์และผลกระทบจากสงครามนโปเลียนได้ส่งผลอย่างรุนแรงในยุโรปตะวันตกทำให้เกิดการอพยพระลอกมหาศาลสู่อเมริกา ชาวสแกนดิเนเวียและชาวเยอรมันที่อพยพเข้ามาในช่วง พ.ศ. 2350พ.ศ. 2440 ส่วนใหญ่มักตั้งถิ่นฐานทำฟาร์มในแถบกลางของภาคตะวันตก (Midwest) และประมาณช่วง พ.ศ. 2395พ.ศ. 2440 มีการระดมคนจากภาคใต้และภาคตะวันออกของยุโรปมาเป็นคนงานในอุตสาหกรรมใหม่ของสหรัฐฯ ชาวยิวที่หนีจากการกดขี่ทางศาสนา และการถูกระดมไปเป็นทหารในจักรวรรดิรัสเซียต่างอพยพเข้ามามากประมาณช่วง พ.ศ. 2415พ.ศ. 2470 ชาวอเมริกัน-เอเชียเริ่มข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2344พ.ศ. 2443) เพื่อหางานทำในอเมริกาตะวันตก ปัจจุบันมีผู้อพยพจากเอเชียใต้ ลาตินอเมริกาและสหภาพโซเวียตเดิมหลั่งไหลมาไขว่คว้าหาความฝันอเมริกัน