พระประวัติ ของ พระกรัดนางกัลยาณี

ชีวิตตอนต้น

ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าเมื่อปี พ.ศ. 2238 อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ได้มีพระราชสาสน์กราบบังคมทูลพระกรุณาสมเด็จพระเพทราชาใจความว่า พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (ตรงกับรัชกาลพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2)[4] มีความประสงค์จะถวายพระราชบุตรีพระองค์หนึ่ง พระนามว่าพระกรัดนางกัลยาณี (คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม)[1] หรือพระตรัสนายกัลยาณี, พระแก้วฟ้า (คำให้การขุนหลวงหาวัด)[2][3] ซึ่งมีพระชันษาเพียง 14 ปี เป็นบาทบริจาริกา นัยว่าขอพึ่งกรุงศรีอยุธยาให้ยกทัพมาช่วยอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์กำลังจะทำศึกกับอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง[5] จากเอกสารของลาวพบว่าพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ไม่มีพันธมิตรใดคอยช่วยเหลือเลยนอกจากญวน[4] เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงทราบความ จึงยกทัพที่มีไพร่พล 10,000 คนไปเวียงจันทน์ และมีหนังสือติดต่อไปยังอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางทำนองว่ากล่าว ทางหลวงพระบางจึงยอมและมีนโยบายประนีประนอมกับเวียงจันทน์ในเวลาต่อมา อยุธยาจึงยกทัพกลับ หลังการช่วยเหลือเสร็จสิ้น อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ก็ส่งพระราชบุตรีลงมายังกรุงศรีอยุธยาทางคลองโพเรียง สมเด็จพระเพทราชาจึงมีรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรสถานมงคลรับพระราชบุตรีแห่งเวียงจันทน์ไว้ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล[3][5] หากเทียบกับเอกสารทางลาว คาดว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2246 อันเป็นปีที่พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ทรงรวมไพร่พลเข้ายึดเมืองหลวงพระบาง และตรงกับปีสุดท้ายของรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา[4]

ส่วนคำให้การขุนหลวงหาวัด และคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 แห่งอาณาจักรอยุธยาทรงมีชื่อเสียงว่าตั้งอยู่ในธรรม มีวิทยาคม และเก่งกล้าสามารถเลื่องลือไปถึงอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจึงแต่งพระราชธิดาที่มีพระสิริโฉมงดงามมาถวาย ซึ่งเสด็จมาด้วยใจรักภักดี มาพร้อมทั้งเสนามาตย์ ไพร่พลลาวทั้งหญิงชายจำนวนหนึ่งหมื่นคน[3] สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 จึงพระราชทานบำเหน็จต่าง ๆ ให้ และมีพระกรุณาให้ตั้งบ้านเรือน ณ บ้านมะม่วงหวาน หรือบ้านม่วงหวาน[1][2] (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลม่วงงาม ตำบลเมืองเก่า อำเภอเสาไห้และอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี)

ตำแหน่งพระมเหสี

หลังพระกรัดนางกัลยาณีเข้ามาในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 แล้วทรงสร้างพระตำหนักและเรือนหลวงให้เป็นที่อยู่ใหม่ เรียกว่าพระตำหนักใหม่[1][2] ชนทั้งหลายจึงออกพระนามพระมเหสีฝ่ายซ้ายว่า "เจ้าตำหนักใหม่"[6][7] แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีพระประสูติกาลพระราชบุตร

ใกล้เคียง

พระกริ่งปวเรศ พระกริ่ง พระกระโดดกำแพง พระกรัดนางกัลยาณี พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระกระยาหาร พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีสุวัตถิ์ พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สุรามฤต พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี