พระบางพุทธลาวัลย์ (ພຣະບາງພຸທລາວັນ) หรือ
พระบาง (ພຣະບາງ) เป็นพระพุทธรูป
ปางห้ามสมุทร สูงสองศอกเจ็ดนิ้ว (ประมาณ 1.14 เมตร) หล่อด้วย
สำริด (ทองคำผสม 90 เปอร์เซ็นต์) มีอายุอยู่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ 19 ตาม
ศิลปะเขมรแบบ
บายนตอนปลาย โดยมีพุทธลักษณะคือ ประทับยืนยกพระหัตถ์ขึ้น นิ้วพระหัตถ์เรียบเสมอกัน พระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง พระขนงเป็นรูปปีกกา พระเนตรเรียว พระนาสิกค่อนข้างแบน พระโอษฐ์บาง พระเศียร และพระเกตุมาลาเกลี้ยงสำหรับสวมเครื่องทรง ปั้นพระองค์เล็ก พระโสภีใหญ่ ครองจีวรห่มคลุม แลเห็นแถบสบง และหน้านางพระบางเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง แต่ชาวอีสานมีความเลื่อมใสมากและมักจะจำลองพระบางมาไว้ที่วัดสำคัญ ๆ ของท้องถิ่น เช่น พระบางวัดไตรภูมิ อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และพระบางจำลองวัดพระเหลา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นต้น พระบางเป็นพระพุทธรูปที่เคยอัญเชิญมาประดิษฐานที่
กรุงเทพมหานคร ถึง 2 ครั้ง และมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสังคมอีสานอยู่เนือง ๆพระบางเดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่
นครหลวงของ
อาณาจักรขอม จนเมื่อ พ.ศ. 1902
พระเจ้าฟ้างุ้มกษัตริย์แห่ง
ล้านช้างซึ่งมีความเกี่ยวพันทางเครือญาติกับ
พระเจ้ากรุงเขมร มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแผ่
พระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานมั่นคงในพระราชอาณาจักร จึงได้ทูลขอพระบางเพื่อมาประดิษฐาน ณ
เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวงของอาณาจักรล้านช้างในขณะนั้นแต่เมื่ออัญเชิญพระบางมาได้ถึง
เมืองเวียงคำ (บริเวณแถบเมือง
เวียงจันทน์ในปัจจุบัน) ก็มีเหตุอัศจรรย์ขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พระบางจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้จนถึง พ.ศ. 2055 อันเป็นสมัยของ
พระเจ้าวิชุณราช ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองเวียงคำมาก่อน จึงสามารถนำเอาพระบางขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่
วัดวิชุนราชในนคร
เชียงทอง ทำให้เมืองเชียงทองเรียกว่า
หลวงพระบาง นับแต่นั้นเป็นต้นมาในสมัยที่
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกทัพเข้ายึดครอง
อาณาจักรล้านช้างไว้ได้ จึงได้อาราธนาพระบาง พร้อมทั้ง
พระแก้วมรกต ลงมาประดิษฐานที่
กรุงธนบุรีปัจจุบันพระบางประดิษฐานอยู่ที่
หอพระบาง พิพิธภัณฑ์เมือง
หลวงพระบาง