พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธรูปประธานประจำ
วิหารพระมงคลบพิตร ตำบลประตูชัย
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระมงคลบพิตร ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในรัชกาลใดแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่มีการสันนิษฐานว่าสร้างใน
สมัยอยุธยาตอนต้นระหว่างปี พ.ศ. 1991 – 2145
[2] เพราะพระพักตร์แม้จะมีลักษณะค่อนข้างเป็นวงรี แต่ก็ยังคงเห็นเค้าพระพักตร์เป็นเหลี่ยมอยู่ ซึ่งเป็นพุทธลักษณะแบบอยุธยาตอนต้น เมื่อพิจารณาถึงเส้น
พระขนงที่โค้ง ก็จะพบว่าเป็นศิลปะที่ ผสมผสานกับ
ศิลปะสุโขทัยอีกด้วย องค์พระก่อด้วยอิฐแล้วหุ้ม
สำริดแผ่น นับเป็นพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทยจากหลักฐานมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2146
พระเจ้าทรงธรรมได้โปรดเกล้า ฯ ให้ชะลอหลวงพ่อวัดมงคลบพิตร จากด้านตะวันออกของวังหลวงมาไว้ทางด้านตะวันตก ณ ที่ประดิษฐานปัจจุบัน และยังได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระมณฑปที่มีลักษณะเช่นเดียวกับมณฑป
พระพุทธบาทสระบุรีสวมไว้ด้วย ในสมัย
พระเจ้าเสือ เกิดอสุนีบาตต้องยอด
พระมณฑป เกิดไฟไหม้พังลงมาต้องพระศอของพระมงคลบพิตรหัก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อเครื่องบนออกแล้วสร้างใหม่เป็นพระวิหาร แต่คงทำเครื่องยอดอย่าง มณฑปของเดิม ต่อมาในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ได้โปรดเกล้าฯ ให้
เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศน์เป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์ และได้รื้อยอดมณฑปเดิมเปลี่ยนเป็นพระวิหารหลังคาคล้ายในปัจจุบัน เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้ายวิหารและพระพุทธรูปถูกไฟไหม้ ชำรุดทรุดโทรม เครื่องบนวิหารหักลงมาต้องพระเมาฬี และพระกรข้างขวาหักในปี พ.ศ. 2474 สมัย
พระยาโบราณราชธานินทร์ ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล
มณฑลอยุธยา คุณหญิงอมเรศร์สมบัติกับพวก ได้ขอยื่นเรื่องซ่อมแซมวิหาร แต่รัฐบาลไม่อนุญาต เนื่องจากต้องการที่จะรักษาตามแบบอย่างทางโบราณคดี โดยจะออกแบบให้ปูชนียสถานกลางแจ้งเหมือน
ไดบุซึของ
ญี่ปุ่น แต่ด้วยเวลานั้นรัฐบาลยังไม่มีงบประมาณพร้อมในการดำเนินการต่อมาในปี พ.ศ. 2499 รัฐบาลสมัยจอมพล
ป.พิบูลสงคราม จึงได้เริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารและองค์พระพุทธเสียใหม่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ในคราวบูรณะพระมงคลบพิตรในปี พ.ศ. 2500 กรมศิลปากรได้พบพระพุทธรูปบรรจุไว้ในพระอุระด้านขวา เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม นาย
อูนุ นายกรัฐมนตรี
สหภาพพม่าในขณะนั้น ได้บริจาคเงินจำนวนสองแสนบาท ร่วมกับฝ่ายรัฐบาลไทยอีกสองแสนห้าหมื่นบาท