บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
พระเจ้าคย็องจงแห่งโครยอ (
เกาหลี: 경종,
ฮันจา: 景宗,
MC: Gyeongjong,
MR: Kyǒngjong ค.ศ. 955 - ค.ศ. 981) เป็นพระมหากษัตริย์ที่ 5 แห่ง
โครยอ (ค.ศ. 975 - ค.ศ. 981) เป็นพระราชโอรสของ
พระเจ้าควังจง และพระนางแทมก (ซึ่งเป็นพระขนิษฐาต่างพระราชมารดากับพระเจ้าควางจง) เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในค.ศ. 975 พระเจ้าคยองจงก็ขึ้นครองราชย์ต่อและสานงานปฏิรูปการปกครองที่พระราชบิดาได้ริเริ่มไว้โดยออกพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินเดิมที่ดินในอาณาจักรโครยอนั้นเป็นสิ่งที่สามารถสืบทอดไปให้ลูกหลานได้ โดยเฉพาะขุนนางตระกูลใหญ่ที่มีที่ดินกว้างใหญ่ตั้งแต่ปลายสมัยชิลลาและยังได้รับพระราชทานจาก
พระเจ้าแทโจเป็นรางวัลคุณความชอบในการตั้งอาณาจักร ทางราชสำนักไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์หรือเก็บภาษีจากที่ดินส่วนตัวของขุนนางเหล่านั้นได้
[1] เมื่อออกพระราชบัญญัตินี้แล้ว ขุนนางคนใดก็ตามที่เสียชีวิตที่ดินนั้นจะไม่สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้แต่จะกลับมาเป็นของราชสำนักแทนเมื่อขึ้นครองราชย์ได้อภิเษกกับเจ้าหญิงนักรังพระราชธิดาของ
พระเจ้าคยองซุนแห่ง
อาณาจักรซิลลา ภายหลังให้พระนามเป็น
สมเด็จพระราชินีฮอนซุก ต่อมาใน
ค.ศ. 978 อภิเษกกับเจ้าหญิงชองจู พระราชธิดาของพระเจ้ามุนวอน(พระราชโอรสของ
พระเจ้าแทโจแห่งโครยอกับพระนางซินมยองซุนซอง)กับพระชายามุนฮเย พระราชทานนามว่า
สมเด็จพระราชินีฮอนอึย แต่พระมเหสีทั้งสองพระองค์ก็ยังไม่ทรงพระครรภ์ จนในปี ค.ศ. 980 พระเจ้าคยองจงได้อภิเษกสมรสกับ
เจ้าหญิงฮวางโบซูและ
เจ้าหญิงฮวางโบซอล ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งพระราชวังมยองบกกุง ตระกูล ฮวางจู ที่เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าแทจง (พระราชโอรสของ
พระเจ้าแทโจแห่งโครยอกับพระนางซินจอง) กับพระนางซ็อนอึย (พระราชธิดาของ
พระเจ้าแทโจแห่งโครยอกับพระนางจองด็อก) ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายพระราชมารดาของพระเจ้าคยองจง มาเป็นพระมเหสีแห่งพระราชวังหลวงแคซองกุง โดยให้พระยศเป็นพระมเหสีเอกทั้งสองพระองค์ มีนามว่า
สมเด็จพระราชินีฮอนแอและ
สมเด็จพระราชินีฮอนจอง และในปี ค.ศ. 980 นั้นเองสมเด็จพระราชินีฮอนแอ ได้ตั้งพระครรภ์และมีพระประสูติกาลเป็นพระราชโอรส พระเจ้าคยองจงจึงพระราชทานพระนามว่า
เจ้าชาย วัง ซง แห่ง ฮวางจูพระเจ้าคยองจงสวรรคตในปี ค.ศ. 981 รวมพระชนมายุได้ 26 พรรษา พระโอรสของพระเจ้าคยองจงมีพระชนมายุเพียง 2 พรรษา (ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็น
พระเจ้ามกจง) ราชบัลลังก์จึงตกไปเป็นของพระญาติห่างๆ คือ
พระเจ้าซองจง