การปฏิวัติของขุนนาง ของ พระเจ้าชาร์ลที่_3_แห่งฝรั่งเศส

สุดท้ายขุนนางก็ยึดอำนาจชาร์ลในปี ค.ศ. 920[10] พวกขุนนางเบื่อหน่ายการเมืองการปกครองและความโปรดปรานเคานต์ฮากาโนของชาร์ล[10] แต่หลังการเจรจาข้อตกลงโดยอาร์ชบิชอปแอร์วิอุสแห่งแร็งส์ กษัตริย์ได้รับการปล่อยตัว[10] ในปี ค.ศ. 922 กลุ่มขุนนางแฟรงก์ก่อปฏิวัติอีกครั้งนำโดยรอแบต์แห่งนูสเตรีย[10] พระอนุชาของพระเจ้าโอโด กลุ่มกบฏเลือกรอแบต์เป็นกษัตริย์ ชาร์ลต้องหนีไปโลธาริงเกีย ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 922 ชาร์ลเสียผู้สนับสนุนที่ภักดีที่สุด แอร์เวอุสแห่งแร็งส์ ไป ชาร์ลกลับมาพร้อมกับกองทัพนอร์มันในปี ค.ศ. 923 แต่ต่อมาพ่ายแพ้ในวันที่ 15 มิถุนายน ใกล้กับซวยส์ซงส์ รอแบต์สิ้นพระชนม์ในสนามรบ[7] ชาร์ลถูกจับกุมตัวและจองจำในปราสาทที่เปโรนภายใต้การเฝ้าดูของแอร์แบต์ที่ 2 แห่งแวร์ม็องดัวส์[11] พระมเหสีชาวอังกฤษของชาร์ล อีดจิฟู กับพระโอรส หลุยส์ หนีไปอังกฤษ[12] บุตรเขยของรอแบต์ รูดอล์ฟแห่งเบอร์กันดี ได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์[13] ในปี ค.ศ. 925 โลธาริงเกียกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเยอรมนี ชาร์ลสิ้นพระชนม์ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 929 และถูกฝังใกล้ กับวิหารแซ็งต์-เฟอร์ซี พระโอรสคนเดียวของพระองค์ที่มีกับอีดจิฟูต่อมาจะได้รับการสวมมงกุฎในปี ค.ศ. 936 เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส[12]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ