พระประวัติ ของ พระเทพกษัตรีย์

สู่ราชสำนักล้านช้าง

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ระบุเนื้อความใกล้เคียงกัน แต่ต่างปี คือในปี พ.ศ. 2093 (ฉบับพันจันทนุมาศ) หรือ พ.ศ. 2107 (ฉบับหลวงประเสริฐ) สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงมีพระราชสาสน์แสดงพระราชประสงค์ขอพระเทพกษัตรีย์ ผู้สืบเชื้อสายมาแต่พระสุริโยทัยไปเป็นพระมเหสี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงตอบรับไปอย่างดี แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาที่คณะทูตจากล้านช้างเดินทางมารับตัวที่กรุงศรีอยุธยา พระเทพกษัตรีย์ก็ทรงประชวรหนัก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็มิทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะทรงรับปากไว้แล้วจึงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระแก้วฟ้า พระราชธิดาซึ่งเกิดกับพระสนมไปแทนพระเทพกษัตรีย์ แต่เมื่อสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงทราบว่าขัตติยนารีที่ถูกส่งมามิใช่พระเทพกษัตรีย์ ก็ทรงเสียพระทัยจึงส่งพระแก้วฟ้ากลับคืนมา ครั้นเมื่อพระเทพกษัตรีย์ทรงหายจากอาการพระประชวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงส่งพระราชธิดาออกเดินทางไปพร้อมกับเถ้าแก่และทาสชายหญิงอย่างละ 500 คนในปี พ.ศ. 2095 ในเอกสารของไทยระบุว่า ระหว่างเดินทาง ได้ถูกทหารพม่าซึ่งดักซุ่มที่ตำบลมะเริง เมืองเพชรบูรณ์ ออกสกัดและจับตัวพระเทพกษัตรีย์ไป[2][3]

ขณะที่เอกสารของลาวระบุว่าสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงรับพระเทพกษัตรีย์ไปหนองหาน มิได้ถูกพม่าชิงตัวไป[4] โดยใน พงศาวดารล้านช้าง ระบุว่าสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงรับพระเทพกษัตรีย์และพระแก้วฟ้าไว้ในตำแหน่งบาทบริจาริกา ดังปรากฏความตอนหนึ่งว่า "...[สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช] ได้ยังราชธิดาพระยาเชียงใหม่มาเปนนางอรรคมเหษี จึงได้ลูกสาวท้าวเชียงธงมาเปนบาทบริจา จึงได้ลูกสาวพระยาเขมรัฐ ๓ คน ได้ลูกสาวพระยาเชียงรุ้ง ๒ คน แล้วได้ลูกสาวองจัวกางลานผู้ ๑ แล้วได้ลูกสาวแกวองแสนเมืองอานามผู้ ๑ แล้วได้ลูกสาวเจ้าบัวดึกผู้ ๑ แล้วได้ราชกัญญานีศรีอโยทธยาชาวใต้ ๒ คนมาเปนบริจาริก อยู่เสวยศุขสนุกนักในบ้านเมืองแห่งตนคราวนั้นแล"[1]

สงครามช้างเผือก

มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว ระบุว่า ในช่วงที่พระเมกุฏิสุทธิวงศ์แห่งอาณาจักรล้านนาทรงแข็งเมือง พระเจ้าบุเรงนองโปรดให้อะวะสะโตมางจอ พระชามาดา, พระมหาอุปราช พระราชโอรส และมางแรจอถิง พระราชาภาคินัย แยกทัพออกเป็นสามทางไปตีเมืองเวียงจันทน์ สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงหนีรอดไปได้ แต่ฝ่ายพม่าได้ควบคุมตัวพระมเหสีสามพระองค์คือ พระนางสี (มเหสีใหญ่), พระนางมนุรา (คาดว่าคือพระเทพกษัตรีย์) พระราชธิดาพระเจ้าอโยธยา, พระนางศิริมา พระราชธิดาพระเจ้าเชียงตุง ตลอดจนบรรดาสนม อำมาตย์ สิ่งของเงินทอง และพลเมืองเป็นอันมาก[5] ส่วน พระราชพงศาวดารพม่า พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ระบุว่า พม่าจับพระมเหสีของกษัตริย์ล้านช้างได้สามพระองค์ คือ พระมหานารี, พระมโนรา (พระราชธิดากรุงสยาม) และฟ้าสิริมา (บุตรีเจ้าฟ้าเชียงตุง) และทรงอธิบายว่าพระมโนรานั้นน่าจะเป็นพระแก้วฟ้ามากกว่าพระเทพกษัตรีย์ เพราะล้านช้างยังมิได้ส่งพระแก้วฟ้าคืนตามที่พงศาวดารไทยกล่าวไว้[6]

พงศาวดารเมืองหลวงพระบางฉบับศาลาลูกขุน ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2112 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงยกทัพไปช่วยกรุงศรีอยุธยาจากการโจมตีของพม่า แต่ถูกทัพของพระมหาอุปราช สะโตมางจอ พระชามาดาพระเจ้าหงสาวดี และตองอูบุริงมางของเจ้าเมืองตองอูล้อมตีจนแตกทัพ แต่ก็หนีกลับล้านช้างได้ หลังพระเจ้าหงสาวดีทรงยึดกรุงศรีอยุธยาได้แล้ว จึงยกทัพไปตีเวียงจันทน์ พม่าใช้เวลาเจ็ดเดือนเพื่อตามหาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแต่ทว่าไม่พบ พระเจ้าหงสาวดีจึงยกทัพกลับ[5]

ใกล้เคียง

พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) พระเทวทัต พระเทพวชิรญาณโสภณ (เยื้อน ขนฺติพโล) พระเทพวิสุทธิมงคล (ศรี มหาวีโร) พระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินฺทฺริโย) พระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย) พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) พระเทพกษัตรีย์ พระเทพมงคลวชิรมุนี (หา สุภโร) พระเทพวิมลญาณ (ถาวร จิตฺตถาวโร)