การทำงาน ของ พัชราภา_ไชยเชื้อ

วงการบันเทิง

อั้ม พัชราภา เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยเริ่มต้นจากการประกวด MissHack 1997 หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม สาวแฮ็คส์นั่นเอง[2] ซึ่งอั้มได้รับรางวัลชนะเลิศ และเป็นสาวแฮ็คส์คนแรก ของเวทีประกวดนี้ และอั้มอยู่ภายใต้การดูแลของชายแฮ็คส์ ซึ่งเป็นฝ่ายโปรโมชันของแฮ็คส์ในขณะนั้น ต่อมาอั้มได้เรียนแอ็คติ้งกับ ต้อย ชาติชาย แก้วสว่าง , และได้แนะนำให้พาไปรู้จักกับผู้ใหญ่ที่ไฟว์สตาร์ ซึ่งตอนนั้นกำลังจะเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง เสือ โจรพันธุ์เสือ ชายแฮ็คส์จึงพาอั้มเข้าไปแคส แต่ว่าตอนนั้นบุคลิกของอั้มยังไม่เหมาะกับบทจึงไม่ได้โอกาส ต่อมาชัด แทนกาย ก็พาอั้มเข้าไปที่บรอดคาซท์ แต่จังหวะละครตอนนั้นยังไม่ลงตัว และต่อมาก็มาพบกับแก้ว พรีเมียร์ จากนั้นแก้วจึงแนะนำให้อั้มไปเป็นนักแสดงช่อง 7 โดยการนัดทางช่องให้ เพื่อนำอั้มไปลงเทป และส่งไปให้คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ดูเพื่อพิจารณา และอั้มจึงได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7[3]

อั้มเริ่มมีบทบาทในวงการบันเทิง โดยผลงานชิ้นแรกคือแสดง MV "ไม่ใช่คนในฝัน" ของศิลปิน "ต้น อาภากร" และในปีเดียวกัน มีผลงานละครเรื่องแรกกับทางช่อง 7 คือ "มณีเนื้อแท้" คู่กับ คงกระพัน แสงสุริยะ [4] หลังจากนั้น อั้ม ก็มีผลงานละครอย่างต่อเนื่อง โดยในปีพ.ศ. 2541 เธอมีละครถึง 3 เรื่องคือ อีสา-รวีช่วงโชติ, ชวนฝันพนันรัก และคู่เขยคู่ขวัญ ก่อนตอกย้ำความแรงของดาวรุ่งดวงใหม่ด้วยละคร 4 เรื่องรวดในปีพ.ศ. 2542 ได้แก่ ลูกหว้า, รักสองภพ, พลับพลึงสีชมพู และแม่นาค ต่อมาในปีพ.ศ. 2543 บท "เจ้าแม้นเมือง" ในละคร "รากนครา" ก็ส่งให้เธอโด่งดังมากขึ้นไปอีก แต่บทบาทที่ทำให้คนดูจดจำเธอนั่นก็คือบท "เปีย" ในละครเรื่อง "คมพยาบาท" ปีพ.ศ. 2544 เป็นการพลิกมารับบทร้ายครั้งแรกของเธอ ซึ่งละครประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้ชื่อเสียงของอั้มถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นและเป็นการแจ้งเกิดเต็มตัวของเธอ เป็นนางเอกที่คนเริ่มจับตามองในขณะนั้น

ต่อมาในปีพ.ศ. 2546 อั้มได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง "เฟค โกหกทั้งเพ" ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ และละครเรื่อง "โซ่เสน่หา" ในบท "ปราลี" หญิงสาวที่รับจ้างตั้งท้อง ทำให้เธอได้รับรางวัล ท็อปอวอร์ด 2003 และยังได้รับรางวัลชมเชย จาก Asian Television Awards 2004 ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และในปีพ.ศ. 2548 กับบท "ปาริฉัตร" ในละคร "เพลิงพายุ" ละครที่มีเนื่อหาเข้มข้นร้อนแรง ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นยังพูดถึงบอกว่า จะรีบกลับไปดู บวกกับกระแสวิพากย์วิจารณ์ของสื่อถึงการแต่งตัวของอั้มที่ไม่เหมาะสมในละคร ส่งผลให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในปีนั้น[5] และทำให้อั้มกลายมาเป็นนางเอกแถวหน้าของวงการ มีผลงานละคร อีเว้นท์ โฆษณา ออกมาไม่ขาด

ปีพ.ศ. 2552 อั้มพลิกบทกลับมาเล่นร้ายอีกครั้งในบท "อรอินทร์" ในละคร "เมียหลวง" ที่ต้องประชันฝีมือกับ ธีรภัทร สัจจกุล และ ปิยธิดา วรมุสิก ซึ่งละครเรื่องนี้ดังเป็นกระแสและถูกพูดถึงอย่างมาก ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากสยามดารา สตาร์ส ปาร์ตี้ 2009 และปีเดียวกันกับบท "แจ๋ว" ในละคร "แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา" เป็นละครแนวโรแมนติกคอเมดี้ ซึ่งเรื่องนี้เธอก็ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ว่าแสดงบทตลกได้น่ารัก ฮา และเป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล นางเอก HOT แห่งปี จากทีวีอินไซด์ ฮอท อวอร์ด 2009 และรางวัล นักแสดงหญิงยอดนิยม จากคมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 7 อีกด้วย

และในปีพ.ศ. 2554 อั้มก็ได้มีงานแสดงภาพยนตร์ อีกครั้ง ชื่อเรื่อง "30 กำลังแจ๋ว" รับบทเป็น "จ๋า" คู่กับ ภูภูมิ พงศ์ภาณุ กำกับภาพยนตร์โดย สมจริง ศรีสุภาพ ผลิตโดยเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ ซึ่ง คิง สมจริง ผู้กำกับ กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกอั้ม มารับบทนี้ว่า "อั้ม คือนางเอกที่ใช่มากๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวผมเห็น อั้ม ในหลายบทบาท อั้ม มีศักยภาพทางการแสดงสูงมาก เค้าน่าจะทำบทบาทนี้ให้มีความลึกซึ้ง โรแมนติก และ กินใจได้ด้วยบทบาทการแสดงของเขา และ ด้วยความเป็นตัวเขาก็สื่อถึงผู้หญิงอายุ 30 ออกมาได้ชัดเจนนะ อั้ม เขาก็มีครบหมดทุกมุม เรียกว่าครบเครื่องน่ะ ผมชอบทุกคาแรกเตอร์ของเขานะไม่ว่าจะมีรัก เลิกรัก อย่างเวลาที่เขามีความรักนะเขาจะสวยสุดๆ เวลาที่มีอุปสรรคถึงเขาจะมีความเศร้าแต่เขาก็ยังเข้มแข็ง คุณว่าไหมล่ะนาทีนี้ถ้าใครพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องนึกถึง อั้ม พัชราภา เท่านั้น"[6] รวมทั้งจันทิมา เลียวศิริกุล หนึ่งในผู้บริหารของค่าย M๓๙ ในฐานะโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เปิดเผยว่า "เริ่มต้นที่พัฒนาบทคือพี่คิงนำเสนอว่าผู้หญิงที่อยู่ในหัวเลยคือ อั้ม พัชราภา เพราะว่าผู้หญิงในเรื่องค่อนข้างที่จะเก่ง แล้วก็ไม่ค่อยจะมีปัญหากับการสนใจสังคม รู้จักตัวเอง รู้จักใจตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลาตัดสินใจแล้ว จะเลือกใช้สมองหรือใช้หัวใจ มั่นใจมาก อั้มเพอร์เฟ็กต์กับคำว่าผู้หญิงเก่งและรู้จักตนเองและเชื่อว่าอั้มเล่นได้เพราะว่าอั้มเก่งมาก"[7]

ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังได้รับหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการ "จ้อจี้" ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของเธอแต่เธอก็ยังคงทำมันได้ดี ซึ่งรายการนี้เริ่มออกอากาศตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546 จนถึง พ.ศ. 2560 และยังทำหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับทาง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7 ถึงแม้จะหมดสัญญาในการเป็นนักแสดงในสังกัดแล้วก็ตาม โดยเธอให้เหตุผลว่า เกรงใจผู้ใหญ่ทางช่อง เพราะช่วงหลังๆเธอรับงานน้อย แต่ก็ยังคงมีผลงานกับทางช่อง 7 ไม่คิดจะย้ายช่อง [8]

ปีพ.ศ. 2560 ถือเป็นการกลับคืนสู่หน้าจออีกครั้งของเธอ หลังจากห่างหายไปเกือบ 3 ปี กับบทบาท "เจ้านางอนัญทิพย์" ในละคร "เพลิงพระนาง" ละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมและเป็นที่กล่าวถึงในโลกโซเชียล มีเรตติ้งตอนจบสูงถึง 9 เรื่องนี้เธอต้องเล่นตั้งแต่รุ่นสาวไปจนถึงตอนแก่และตาย ซึ่งฝีมือการแสดงของเธอได้รับคำชื่นชมจากผู้ชมละครและคนในวงการบันเทิงอย่างล้นหลาม[9] และเธอได้รับรางวัล ดารานำหญิงขวัญใจมหาชน จากงาน มายา มหาชน 2017[10]

แหล่งที่มา

WikiPedia: พัชราภา_ไชยเชื้อ http://www.becteroradio.com/news-712-.html http://news.ch7.com/detail/113006/%E0%B8%AD%E0%B8%... http://stars.ch7.com/profile/6222/%E0%B8%9E%E0%B8%... http://www.imdb.com/name/nm1472174/ http://www.instagram.com/aum_patchrapa http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/25044 http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/29080 http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/31974 http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/38984 http://gossipstar.mthai.com/gossip-content/39599