ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีวิภัตติปัจจัยตามแบบลักษณะของภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียนกล่าวคือการนำคำมาประกอบในประโยคจะต้องมีการผันคำโดยอาจจะเติมเสียงต่อท้ายหรือเปลี่ยนรูปคำบ้างเช่นในภาษาอังกฤษเรามักจะเห็นการเติม -s สำหรับคำนามพหูพจน์ หรือเติม -ed สำหรับกริยาอดีตแต่ในภาษาบาลีมีสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าภาษาอังกฤษอีกหลายอย่าง
การผันคำนาม (Noun Declension)
ในที่นี้ขอหมายรวมทั้ง นามนาม (Nouns), คุณนาม (Adjectives) และสัพนาม (Pronouns)ซึ่งการนำคำนามเหล่านี้มาประกอบประโยคในภาษาบาลีจะพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
- ลิงก์ (Gender) หรือเพศ ในภาษาบาลีมีสามเพศคือชาย หญิง และไม่มีเพศ บางคำศัพท์เป็นได้เพศเดียว บางศัพท์อาจเป็นได้สองหรือสามเพศ ต้องอาศัยการจดจำเท่านั้น
- วจนะ (Number) หรือพจน์ ได้แก่ เอกวจนะ และ พหุวจนะ
- การก (Case) การกคือหน้าที่ของนามในประโยค อันได้แก่
- ปฐมา (Nominative) เป็นประธานหรือผู้กระทำ (มักแปลโดยใช้คำว่า อ.. (อันว่า)....)
- ทุติยา (Accusative) เป็นกรรม (ซึ่ง..., สู่...)
- ตติยา (Instrumental) เป็นเครื่องมือในการกระทำ (ด้วย..., โดย..., อัน...., ตาม.....)
- จตุตถี (Dative) เป็นกรรมรอง (แก่..., เพื่อ..., ต่อ...)
- ปัญจมี (Ablative) เป็นแหล่งหรือแดนเกิด (แต่..., จาก..., กว่า...)
- ฉัฏฐี (Genitive) เป็นเจ้าของ (แห่ง..., ของ...)
- สัตตมี (Locative) สถานที่ (ที่..., ใน...)
- อาลปนะ (Vocative) อุทาน (ดูก่อน...)
- สระการันต์ (Termination Vowel) คือสระลงท้ายของคำศัพท์ที่เป็นนาม เพราะสระลงท้ายที่ต่าง ๆ กัน ก็จะต้องเติมวิภัตติที่ต่าง ๆ กันไป
ตัวอย่างเช่น คำว่า สังฆะ คำนี้มีสระ อะ เป็นการันต์และเพศชายเมื่อนำไปใช้เป็นประธานเอกพจน์จะผันเป็น สังโฆ, ประธานพหูพจน์เป็น สังฆา,กรรมเอกพจน์เป็น สังฆัง, กรรมรองเอกพจน์เป็น สังฆัสสะ ฯลฯ
หรือคำว่า ภิกขุ คำนี้มีสระ อุ เป็นการันต์และเพศชายเมื่อนำไปใช้เป็นประธานเอกพจน์ก็ผันเป็น ภิกขุ, ประธานพหูพจน์เป็น ภิกขะโว หรือ ภิกขู,กรรมเอกพจน์เป็น ภิกขุง, กรรมรองเอกพจน์เป็น ภิกขุสสะ หรือ ภิกขุโน ฯลฯ
การผันคำกริยา (Verb Conjugation)
คำกริยาหรือที่เรียกว่าอาขยาต เกิดจากการนำธาตุของกริยามาลงปัจจัยและใส่วิภัตติ ตามแต่ลักษณะการใช้งานในประโยค
- การใส่วิภัตติ เพื่อปรับกริยานั้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังนำไปใช้ มีสิ่งที่จะพิจารณาดังนี้
- กาล (Tense) ดูว่ากริยานั้นเกิดขึ้นในเวลาใด
- วัตตมานา (Present - Indicative) กริยาปัจจุบัน ใช้ในประโยคบอกเล่า
- ปัญจมี (Present - Imperative) ใช้ในประโยคคำสั่ง หรือขอให้ทำ
- สัตตมี (Present - Optative) ใช้บอกว่าควรจะทำ พึงกระทำ
- ปโรกขา (Indefinite Past) กริยาอดีตที่ล่วงแล้ว เกินจะรู้ (Tense นี้ไม่ค่อยมีใช้แล้ว)
- หิยัตตนี (Definite Past) กริยาอดีต
- อัชชัตตนี (Recently Past) กริยาที่ผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือในวันนี้
- ภวิสสันติ (Future) กริยาที่จะกระทำ
- กาลาติปัตติ (Conditional) กริยาที่คิดว่าน่าจะทำแต่ก็ไม่ได้ทำ (หากแม้นว่า...)
- บท (Voice) ดูว่ากริยานั้นเกิดกับใคร
- ปรัสสบท (Active) เป็นการกระทำอันส่งผลกับผู้อื่น
- อัตตโนบท (Reflective) เป็นการกระทำอันส่งผลกับตัวเอง หรือมีสภาวะเป็นอย่างนั้นอยู่เอง
- วจนะ (Number) เหมือนคำนามคือแบ่งเป็นเอกวจนะและพหุวจนะ ซึ่งวจนะของกริยาก็ต้องขึ้นกับวจนะของนามผู้กระทำ
- บุรุษ (Person) บอกบุรุษผู้กระทำกริยา บุรุษในภาษาบาลีนี้จะกลับกับภาษาอังกฤษคือ
- บุรุษที่หนึ่ง หมายถึงผู้อื่น (เขา)
- บุรุษที่สอง หมายถึงผู้ที่กำลังพูดด้วย (เธอ)
- บุรุษที่สาม หมายถึงผู้ที่กำลังพูด (ฉัน)
ตัวอย่างเช่น กริยา วะทะ ที่แปลว่าพูด เป็นกริยาที่ Active ถ้าจะบอกว่า ฉันพูด ก็จะเป็น วะทามิ,เราพูด เป็น วะทามะ, เธอพูด เป็น วะทะสิ, เขาพูด เป็น วะทะติ,ฉันพึงพูด เป็น วะเทยยามิ, ฉันจักพูด เป็น วะทัสสามิ ฯลฯ
- การลงปัจจัย สำหรับธาตุของคำกริยา ก่อนที่จะใส่วิภัตตินั้น อันที่จริงต้องพิจารณาก่อนด้วยว่า
กริยาที่นำมาใช้นั้นเป็นลักษณะปกติหรือมีการแสดงอาการอย่างใดเป็นพิเศษดังต่อไปนี้หรือเปล่า
อัพพยศัพท์ (Indeclinables)
คือกลุ่มคำที่จะไม่ถูกผันไม่ว่าจะนำไปประกอบประโยคส่วนใดก็ตามได้แก่
- อุปสรรค
- ปัจจัย
- นิบาต