ภูเขาใต้ทะเล
ภูเขาใต้ทะเล

ภูเขาใต้ทะเล

ภูเขาใต้ทะเล คือภูเขาที่อยู่บนพื้นทะเลและมีความสูงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลซึ่งไม่ใช้เกาะ, เกาะเล็กและหน้าผา ภูเขาใต้ทะเลมักเกิดจากภูเขาไฟที่ดับแล้วที่ปะทุขึ้นอย่างกระทันหันซึ่งปกติแล้วจะตั้งสูงขึ้นมาประมาณ 1,000-4,000 เมตรเหนือพื้นทะเล นักสมุทรศาสตร์กำหนดได้กำหนดลักษณะคร่าว ๆ คือสูงเหนือพื้นทะเลอย่างน้อย 1,000 เมตรและมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย[1]ยอดของภูเขาใต้ทะเลมักจะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเป็นร้อยเป็นพันเมตรดังนั้นจึงถือว่าพวกมันจะพบในบริเวณทะเลลึก[2] ระหว่างการก่อตัวภูเขาใต้ทะเลบางลูกอาจมียอดสูงพ้นระดับน้ำทะเลและอาจโดนคลื่นและลบกัดเซาะจนมียอดราบ เมื่อภูเขาเหล่านี้ทรุดตัวหรือมีกิจกรรมบางอย่างทำให้มันจมลงใต้ทะเลก็จะเรียกภูเขาลักษณะนี้ว่าเขายอดราบใต้สมุทร[1]ภูเขาใต้ทะเลมีประมาณ 9,951 ลูกมีเขายอดราบใต้สมุทรอีก 283 ลูกซึ่งทั้งหมดนี้มีพื้นที่รวมกันประมาณ 8,796,150 ตารางกิโลเมตร[3] แต่กลับมีภูเขาเพียงไม่กี่ลูกที่นักวิทยาศาตร์ทำการศึกษา ภูเขาใต้ทะเลและเขายอดราบใต้สมุทรพบได้มากในแปซิฟิกเหนือและมีรูปแบบการก่อตัวที่โดดเด่นคือปะทุ, ก่อตัว, ทรุดตัวและพังทลาย ในไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการสังเกตกิจกรรมต่าง ๆ ของภูเขาใต้ทะเลยกตัวอย่างเช่นภูเขาใต้ทะเลโลลิฮิ (Lōʻihi Seamount) ในหมู่เกาะฮาวายภูเขาใต้ทะเลมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่พบมากที่สุดแบบหนึ่งของโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภูเขาใต้ทะเลกับกระแสใต้น้ำและพื้นที่สูงของภูเขาได้ดึงดูดแพลงก์ตอน, ปะการัง, ปลาและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลทำให้เป็นจุดทำนิยมทำประมงของอุตสาหกรรมการประมงเชิงพาณิชย์ ความนิยมการทำประมงนี้ก่อให้เกิดกังวลเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบของระบบนิเวศอย่างเช่นในกรณีการลดจำนวนลงอย่างมากของปลาออเร้นจ์รัฟฟี่ (Orange roughy) และปัญหาการลากอ้วนน้ำลึกซึ่งสร้างความเสียหายทางนิเวศวิทยาภูเขาใต้ทะเลมีจำนวนมากแต่ก็สามารถทำการศึกษาและทำแผนที่ได้ด้วยการวัดความลึกและวัดความสูงจากดาวเทียม มีอุบัติเหตุที่เรือเดินสมุทรชนเข้ากับภูเขาใต้ทะเลที่ไม่มีใครสังเกตด้วยเช่นในกรณีของ ภูเขาใต้ทะเลมิลฟิล (Muirfield Seamount) ที่ตั้งชื่อตามเรือที่มาชนเมื่อปี พ.ศ. 2516 แต่อย่างไรก็ตามอันตรายสูงสุดของภูเขาใต้ทะเลคือการยุบหรือพังทลายจากด้านข้างอย่างเช่นเมือเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หินอัคนีพุในภูเขาจะเกิดการกดลงด้านข้างทำให้เกิดภูเขาถล่มซึ่งอาจก่อให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่