ข้อถกเถียงวาทกรรมมะเมียะ ของ มะเมียะ

ประเด็นถกเถียงมายถึงตัวตนจากตำนานว่ามะเมียะเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์หรือไม่เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนและเป็นคำบอกเล่าสืบๆต่อกันมา ทำให้มีผู้คนเกิดความสนใจตามหาข้อเท็จจริงดังนี้

  1. การสืบต่อเป็นเจ้าหลวงในอนาคตเจ้าน้อยสุขเกษมที่จะได้เป็นเจ้าครองนครเชียงใหม่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรักดังเรื่องเล่าที่แต่งขึ้น เพราะเจ้าเลาแก้วผู้เป็นพี่มียศตำแหน่งทางการเมืองที่สูงกว่า การสืบทอดตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองล้านนาจึงมักจะเป็นการสืบทอดจากพี่ไปน้อง ดังนั้นที่อ้างกันว่าเจ้าศุขเกษมจะได้ครองเมืองเชียงใหม่ต่อนั้นก็ไม่จริงถ้าหากเรียงตามลำดับศักดิ์ ประกอบกับชีวิตที่ไม่ได้เรื่องของเจ้าน้อยฯจากคำบอกเล่าของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่[5]
  2. เรื่องจริงปนนิยายจาก จากคำให้การของ เจ้าวงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ กล่าวในฐานะคนในว่า “เรื่องมันไม่ได้เป็นนิยายอย่างนั้น มันไม่ได้ใหญ่โตจนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพียงแต่มันไม่เหมาะสม เพราะตามตำแหน่ง เจ้าน้อยฯ ต้องเป็นเจ้าหลวงในอนาคต หลายคนคงลำบากใจที่ได้เมียเป็นชาวพม่า และที่สำคัญ อุตส่าห์ส่งไปเรียนหนังสือ กลับได้เมียมา เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ต้องไม่พอใจ คงเหมือนสมัยนี้แหละ บางคนก็ต่อว่าเจ้าปู่เรา (เจ้าหลวงแก้วนวรัฐ) ว่าแบ่งขีดแบ่งชั้นกีดกันความรัก ความจริงอีกอย่างคือเจ้าอาว์ (เจ้าน้อยศุขเกษม) ก็รูปหล่อ เป็นลูกเจ้าอุปราชฯ ท่านก็เป็นคนสำราญตามประสาเจ้าชายหนุ่ม และตามที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ท่านมิได้หมกมุ่นตรอมใจจนตายอย่างนิยายว่า เรื่องเพิ่งจะมาเศร้าโศกปวดร้าวเมื่อคุณปราณี ขยายให้เป็นนิยายนี่เอง และถ้าเรื่องนี้เป็นไปตามนั้น ไม่มีทางจะปิดชาวเชียงใหม่ได้มิดหรอก”[6]
  3. เหนือฟ้า ปัญญาดี เคยสัมภาษณ์กับปราณีว่าแท้จริงแล้ว ชื่อของมะเมียะมีที่มาจากชื่อหญิงไทใหญ่ที่อยู่บ้านระแวกเดียวกันในย่านวัดป่าเป้าอันเป็นชุมชนชาวไทใหญ่ในเชียงใหม่ หญิงไทใหญ่ มีชื่อจริงว่า "แม่นางเมียะ" การใช้คำว่า "มะ" ที่ภาษาเป็นพม่าใช้นำหน้าชื่อผู้หญิงตั้งแต่เด็กจนเป็นสาว ส่วนข้อสันนิษฐานที่พบมะเมียะในพม่า ชื่อว่า "แม่ชีด่อนางเหลียน" โดย"ด่อ" จะใช้นำหน้าชื่อผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือมีอายุตั้งแต่ ๓๕ ปีขึ้น ด่อนางเหลียนจึงอาจไม่ใช่ตัวจริง[7]
  4. เรื่องเจ้าน้อยศุขเกษมนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริงของเจ้าราชบุตรเสียมากกว่า และเป็นเรื่องจริงที่นำเหตุการณ์จริงหลายเรื่องมาปะติดปะต่อจึงทำให้พบข้อสันนิษฐานหรือข้อพิรุดอยู่หลายจุด[8][2] คือ
    1. เรื่องเจ้าน้อยฯ ไปเรียนที่มะละแหม่ง คุณปราณีเล่าว่าเจ้าน้อยอายุ 15 ปี แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องอายุแล้ว ปีที่อ่างว่าไปเรียนนั้นเจ้าน้อยมีอายุจริงได้ 19 ปี ซึ่งน่าจะเลยเวลาเล่าเรียนไปแล้ว
    2. เรื่องเจ้าน้อยฯ ไปส่งมะเมียะขึ้นช้างกลับมะละแหม่งที่ประตูหายยา เรื่องนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง เพราะการเดินทางไปมะละแหม่งนั้น จะต้องล่องเรือตามลำน้ำปิงไปเมืองระแหงหรือเมืองตาก แล้วเดินบกไปมะละแหม่ง การเดินทางจากเชียงใหม่ไปเมืองตากโดยทางบกนั้นไม่มีใครทำกัน
    3. คุณปราณีว่า เจ้าแก้วนวรัฐฯ และเจ้าน้อยฯ มอบเงินให้มะเมียะติดตัวกลับไปเป็นเงิน 800 และ 80 บาท ข้อนี้ก็พิรุธเพราะสมัยนั้นทางล้านนาไม่มีการใช้เงินบาท แต่ใช้เงินรูเปียอินเดียที่อังกฤษเอามาใช้ที่พม่า ที่เรียกกันว่า "เงินแถบ" เงินบาทเพิ่งจะขนขึ้นไปใช้จนแพร่หลายในช่วงหลัง พ.ศ. 2459 หรือในช่วงกลางรัชกาลที่ 6 มาแล้ว
    4. "ประตูหายยา" ที่เจ้าน้อยศุขเกษมไปส่งมะเมียะ และชาวเมืองเชียงใหม่จำนวนมากไปเฝ้ารอดูว่าเธอสวยเพียงใดนั้นเป็นเรื่องผิดวิสัย ตามความเชื่อของคนเชียงใหม่ ประตูหายยาเป็น "ประตูผี" สำหรับส่งศพออกนอกเมือง ยิ่งเป็นการเดินทางไปเมืองมะละแหม่ง ควรเลือกใช้ "ประตูท่าแพ" เพื่อลงเรือแม่ปะตามแม่น้ำปิงไปเมืองระแหง แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางบก ใช้ช้างเดินทางไปด่านแม่สอดสู่เมืองมะละแหม่ง เป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุด (นักวิชาการท้องถิ่นบางคนสันนิษฐานว่าการเดินทางของมะเมียใช้เส้นทางจากสันป่าตองสู่บ้านกาดถึงเมืองวินต่อไปที่แม่นาจรจนถึงขุนยวมแล้วลงเรือบ้านต่อแพเพื่อออกแม่น้ำสาละวิน)
    5. เจ้าราชบุตร (วงศ์ตวัน ณ เชียงใหม่) ลงมาเล่าเรียนที่โรงเรียนราชวิทยาลัยเมื่ออายุ 14 ปี เป็นปีเดียวกับที่คุณปราณีระบุว่าเจ้าน้อยศุขเกษมไปเรียนที่มะละแหม่ง
    6. ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ยังพบความ "เรื่องประหลาด" ในพระราชบันทึกส่วนพระองค์ ที่ทรงกล่าวถึงเจ้าราชบุตรจะสมรสกับหญิงคนหนึ่งที่เป็นธิดานอกสมรสของพระบรมวงศ์พระองค์หนึ่ง โดยในชั้นต้นเข้าใจกันว่าเป็นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์ จึงมีพระราชดำริที่จะจัดการสมรสพระราชทาน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วสตรีนั้นเป็นบุคคลที่บิดาไม่รับเป็นบุตร จึงมิได้เป็นหม่อมเจ้า ในเมือมิได้เป็นเจ้าจึงต้องทรงวางเฉยในเรื่องนี้ และไม่ปรากฏว่าเจ้าราชบุตรได้สมรสกับหญิงคนนี้
    7. เหตุการณ์การสยายผมของมะเมียะเหมือนกับเหตุการณ์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้สยายพระเกษาเช็ดพระบาทให้กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนที่จะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนครเชียงใหม่
  5. รายการทางช่องยูทูป Mr.Hotsia[9] ได้เดินทางไปตามหาเรื่องราวของมะเมียะและไปสัมภาษณ์แม่ชีที่เป็นลูกศิษยแม่ชีมะเมียะ (เชื่อกันว่าเป็นมะเมียะ)จนได้พบรูปถ่ายที่เชื่อว่าเป็นภาพของมะเมียะตอนอายุ 20 ปีซึ่ง ผู้หญิงในรูปมีประวัติว่าเคยมีสามีเป็นคนไทยและก่อนมาบวชเคยมีลูกและนำทารกไปให้ผู้อื่นเลี้ยงและทารกได้เสียชีวิตเพียงอายุ 9 เดือน ข้อเท็จจริงจากภาพถ่ายพบความคลาดเคลื่อนว่า มะเมียะในรูปเกิดปี พ.ศ. 2445 (ไม่ตรงกับเรื่องเล่าว่ามะเมียเกิดปี พ.ศ. 2430) แต่เจ้าน้อยฯเดินทางไปเรียนพม่าเมื่อ ปี พ.ศ. 2445 จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่มะเมียและเจ้าน้อยจะได้พบกันในช่วงเวลาดังกล่าว

ใกล้เคียง