กรอบแนวความคิดและผลงาน ของ มัคส์_แอ็นสท์

ที่มาของแนวความคิดและผลงานทางด้านศิลปะของแอ็นสท์มีความเกี่ยวพันร่วมกับขบวนการกลุ่มดาดาจวบจนถึงยุคของ เซอร์เรียลิมส์คือจากแนวความคิดที่จะขุดรากถอนโคนศิลปะแบบเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้ มาเป็นการเน้นถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในจิตใจแฝงไว้ และสิ่งนั้นที่ทำให้ศิลปะแบบใหม่ล่วงผ่านสู่การยอมรับในวัฒนธรรมของมวลมนุษย์ นั่นไม่เพียงต่อต้านต่อรสนิยมชั้นสูงเท่านั้น ศิลปะแบบลัทธิเหนือจริงยังได้แสดงออกถึงความปรารถนาที่ซ่อนเร้นและสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ทุกเพศทุกวัยด้วยความไร้เดียงสาของวัยเยาว์ซึ่งง่ายต่อการยอมรับสำหรับทุกคน ลัทธิเหนือจริงเป็นการปฏิวัติรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตก สามารถทำให้ผู้คนชะงักงันมองโลกในแง่ใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยรูปแบบที่อยู่เหนือจริง

นอกจากงานด้านจิตรกรรมแล้วแอ็นสท์ยังได้สร้างผลงานด้านภาพพิมพ์ ประติมากรรม สื่อประสม และที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขามากที่สุดคือภาพปะติดในยุคดาดา ผลงานจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นคือเทคนิคภาพพิมพ์ถูหรือการพิมพ์ถู การปะติดประกอบภาพต่อเศษส่วนต่าง ๆ ของวัตถุให้กลายเป็นศิลปะขึ้นมาตามทฤษฎีเชื่อว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเป็นมายาหรือเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น จากลักษณะการทำงานของแอ็นสท์นั้น เขาไม่ได้ใช้แบบอย่างของเทคนิคที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่เกิดจากแนวคิดของเขาและกลุ่มลัทธิเหนือจริงที่ต่อต้านความเป็นจริงจากโลกของแบบที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ให้เป็นโลกแห่งความฝัน หรือโลกแห่งจินตนาการที่มีการเชื่อมโยงอย่างเสรีทางความคิด

เทคนิคการสร้างภาพพิมพ์ถูของแอ็นสท์โดยใช้กระดาษปิดทับผิวหน้าวัตถุแล้วฝนถูบนกระดาษให้เกิดเป็นภาพขึ้นมา รวมทั้งเทคนิคการขูดเซาะสีตลอดทั้งปี ค.ศ. 1920 จนถึงช่วงปี ค.ศ. 1931 เพื่อล้อเลียนสรรพสิ่งที่เป็นอยู่แบบแปลก ๆ และจากประเด็นความบังเอิญที่เกิดขึ้น ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลอย่างไรของกระบวนการกดทาบซับสี การถ่ายโอนลวดลายสีจากกระดาษไปยังไม้ โลหะ เครื่องเคลือบ หรือเครื่องแก้วอื่น ๆ เทคนิคของแอ็นสท์เป็นแบบอัตโนมัติ กล่าวคือ ผลลัพธ์เกิดจากความบังเอิญโดยลักษณะวิธีการของตัวมันเอง เขาเพียงแต่เพ่งพิจารณาด้วยจินตนาการ ใช้เทคนิคการระบายสีเข้าไปเสริมเพียงเล็กน้อย เพื่อเน้นรูปจากจินตนาการให้ชัดเจนขึ้นด้วยเส้นและสีเท่านั้น

ช่วงต่าง ๆ ของผลงาน

Immortality, 1913–1914. Oil on Wood, 46 × 31 cm.

1. การบรรลุสิ่งที่ห่างไกลเหนืองานจิตรกรรม (Reaching Beyond Painting), 1915–1922

จิตรกรรมเกี่ยวกับรูปร่างคนหรือสัตว์ในระยะแรก ๆ ของเขามีลักษณะใหญ่โตประชดประชันเป็นสิ่งที่ล้ำยุคที่ศิลปินคนอื่นยังไม่ได้ทำขึ้นในช่วงขณะนั้น เป็นการถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะทวิรูปคือการใช้รูปแบบของสิ่งสองสิ่งที่ต่างกันมาไว้ด้วยกัน และจากการต่อต้านศิลปะตามแบบอย่างอนาคตนิยมรวมถึงบาศกนิยมที่นิยมในขณะนั้น

ในปี ค.ศ. 1919 งานเทคนิคผสมได้ถูกนำมารวมกับงานพิมพ์เพื่อการค้า การพิมพ์ถูแล้วระบายสีเคลือบทับของภาพประกอบในวัสดุสิ่งพิมพ์และงานภาพปะติดได้เข้ามาแทนทีการใช้พู่กัน ปากกา หรือดินสอ วิธีนี้ถือเป็นการท้าทายในเชิงทำลายที่ต่างจากมาตรฐานศิลปะในสมัยนั้นแอ็นสท์ปฏิเสธการทำงานที่มุ่งรูปแบบธรรมชาติโดยตรง ทั้งไม่พยายามส่งผลกระทบต่อผู้ชมให้เกิดการยอมรับความจริง อีกแง่มุมหนึ่งถือเป็นแบบรากฐานแห่งการเข้าถึงชีวิตโลกแบบใหม่ เป็นการกระทำเพื่อล้อเลียนรูปแบบต้นแบบวัตถุที่เขาแสดงออกในงานภาพตัดปะ

2. ประสบการณ์จากยุคดาดาและภาพปะติด (Fruit of a Long Experience), 1919–1922

ผลงานศิลปะที่นำวัสดุและวิธีเสนอเป็นภาพปะติด โดยการตัดเฉพาะส่วนที่แตกต่างกัน สิ่งที่ขัดแย้งกันมารวมกัน ถือเป็นการต่อต้านความจริงขั้นพื้นฐานทางสายตา เพื่อสร้างสรรค์สู่โลกใหม่และหนีจากโลกความจริง โดยเฉพาะความจริงจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาซึ่งการทำลายล้างก่อเกิดเป็นสงคราม แนวคิดของแอ็นสท์ที่ยึดหลักความไร้เหตุผลมาเป็นเหตุผล เพื่อแสดงออกถึงความมีสิทธิและเสรีภาพ จนกระทั่งกลายเป็นกระบวนการคติดาดา คตินิยมที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางสังคมและรสนิยมทางศิลปะอย่างสิ้นเชิง

3. มนุษย์ไม่ควรรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ (Of This Men Shall Know Nothing), 1923–1924

จากการตีความหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของฟร็อยท์ ในความหมายที่เกี่ยวกับเนื้อหาความฝันที่เปิดเผย จุดประสงค์แห่งขีดความไร้สำนึกที่ปราศจากการควบคุม ถือเป็นแนวทางที่เด่นชัดของกลุ่มลัทธิเหนือจริง โดยภาพวาดของแอ็นสท์ใช้รูปแบบคนโดยการลดทอนและนำมาจัดรวมกันใหม่ให้ดูแปลกไปจากเดิม หรือนำอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของคนมานำเสนอเฉพาะส่วนที่จำเป็น ใช้วิธีการระบายสีเน้นลักษณะพื้นผิวด้วยรอยแปรงอย่างชัดเจน

4. การพิมพ์ถูและประวัติธรรมชาติ (Frottage and History Natural), 1925–1926

การค้นพบเทคนิคการลอกลาย หรือเทคนิคอัตโนมัติ เป็นการแสดงออกซึ่งอารมณ์และจิตไร้สำนึก เทคนิคการพิมพ์ถูเป็นการแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของทฤษฎีการกระทำแบบอัตโนมัติของกลุ่มเหนือจริง การทำซ้ำ ๆ ในการออกแบบตามความรู้สึกนึกคิด ซึ่งวิธีการที่เกี่ยวข้องกลับสวนทางกับความคิดของการวาดภาพที่ต่อเนื่องรวดเร็ว โดยผลลัพธ์เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพผิวและรูปร่าง เข้าเป็นหน่วยสื่อความหมายทางภาษาด้วยการแสดงออกชุดผลงานอย่างต่อเนื่อง การผันแปรสับเปลี่ยนองค์ประกอบภายในชุดผงงาน ความสอดคล้องของรูปทรงหนึ่งกับอีกรูปทรงหนึ่ง

5. นก เจ้าสาว ป่า และดอกไม้ (Birds, Brides, Forests and History Natural), 1927–1939

จากเทคนิคภาพพิมพ์ถูโดยใช้กระดาษ แอ็นสท์ได้พัฒนามาเป็นการใช้ผ้าใบ ใช้เทคนิคที่เรียกว่าการขูดครูดสี ซึ่งนำไปสู่ภาพความคิดฝันที่เปลี่ยนแปลงใหม่อันน่าพิศวง ผลงานของแอ็นสท์ทีเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามยุติ สามารถค้นพบเบื้องหลังความครุ่นคิดของแอ็นสท์กับดวงอาทิตย์ และป่าไม้ที่ถูกเผาผลาญด้วยไฟป่า จากทรรศนะที่ถือว่าคนเป็นศูนย์กลางจักรวาล ถูกแทนที่ด้วยสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น

The Scenery Changes Three Time

6. นวนิยายภาพปะติดและการแผ่ขยาย (The Collage Novels and Loplop), 1930–1936

รูปแบบภาพตัดปะด้วยเทคนิคสื่อประสม คือการเปลี่ยนจากภาพประกอบนิยายราคาถูกแกะสลักไม้มาเป็นพิมพ์แม่พิมพ์โลหะ เพื่อจะเอาชนะวิธีการแบบใหม่ของการคัดลอกงานด้วยวิธีการต่าง ๆ แอ็นสท์ได้เสนอความหลากหลายของการจัดองค์ประกอบศิลป์ การผสมผสานการปะติดในส่วนที่เกี่ยวกับลวดลายต้นแบบวัตถุจริง

7. ทัศนียภาพจินตนิยม : เมืองและป่า (The Romantic Vision: Cities and Jungles), 1935–1938

เทคนิคแกรททาจและภาพพิมพ์ถูนั้นปรากฏเด่นชัดเจนมากขึ้นด้วยลักษณะของลวดลายต้นแบบจากเครื่องจักสานที่นำไปแทนความหมายของป้อมปราการเมืองหรือบ้านเรือนที่ปรักหักพังลง รกร้างเนิ่นนานจนเถาวัลย์แทรกขึ้นปะปนดูเป็นส่วนเดียวกัน ภาพมุมมองเกี่ยวกับป่านั้นมีลักษณะพืชพันธุ์ไม้กลายร่างเป็นคน หรืออาจโดยนัยตรงกันข้ามว่า คนกลายร่างเป็นต้นไม้ มันคือหน่วยเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเป็นสัมพันธภาพระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นเมืองบนภูเขาให้ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่หักพังของเมืองแห่งความฝัน แอ็นสท์นำเอาความไม่สวยงาม ความผุพังเสื่อมโทรมมาสร้างให้เกิดคุณค่าและความหมายใหม่

8. ยุโรปหลังฝน (Europe after the Rain), 1938–1942

แอ็นสท์แสดงออกด้วยเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม การวาดภาพเทวดาของหัวใจและบ้าน เป็นเทพแห่งความตายที่มีรูปร่างประหลาด แอ็นสท์ได้อธิบายไว้ว่ารูปที่ทำขึ้นเพื่อเยาะเย้ยเสียดสีสิ่งที่ผู้คนพากันศรัทธาต่อการเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ การต่อสู้เท่ากับสงคราม ซึ่งสิ่งนั้นได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาอยู่ในเส้นทางของมัน

9. ยุคแห่งการแสวงหาสู่ความเรียบง่าย (From the Age of Anxiety to the Childhood), 1943–1976

ผลงานจิตรกรรมที่ทำขึ้นในแบบรูปทรงเรขาคณิตและรูปทรงธรรมชาติผสมผสานกัน ซึ่งได้อิทธิพลจากศิลปะอนารยชนชนเผ่าดั้งเดิม เช่น ภาพ Feast of the Gods, 1948 และเมื่อเขากลับมาจากปารีสการสร้างงานย้อนมาสู่ความเชื่อแบบลัทธิเหนือจริง เทคนิคที่ยังคงใช้การพิมพ์ถูพื้นผิวผสมกับการวาดภาพให้รวมเป็นพื้นผิวหนึ่งเดียวกัน เรื่องราวของภาพที่ให้ความรู้สึกเชิงต่อต้าน ภาพคลื่นที่อาจมองดูเป็นทิวเขา และท้องทะเลเป็นหุบเหว ปลาคล้ายดาว และรูปมนุษย์ก็ถูกนำมาใช้ในแบบนิยายของสัตว์ประหหลาด