ก่อกบฏ ของ มังฆ้องนรธา

พระเจ้าอลองพญาเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1760 และพระราชโอรส พระเจ้ามังลอก ทรงได้สืบราชบัลลังก์ต่อ พระราชโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าอลองพญา เจ้าชายมังระ ได้ทรงพยายามที่จะแย่งชิงราชบัลลังก์จากพระเชษฐาแต่ไม่สำเร็จ พระเจ้ามังลอกทรงให้อภัยต่อพระอนุชาด้วยการร้องขอจากพระราชมารดา แต่พระองค์ก็ทรงเกรงว่ากบฏอื่น ๆ จะตามมาอีก พระองค์ทรงเรียกแม่ทัพสองคนที่พระองค์ไม่ทรงชอบมาเข้าเฝ้าเนื่องจากสงสัยว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนพระเจ้ามังระอย่างออกนอกหน้า โดยที่แม่ทัพทั้งสองไม่ได้สงสัยอะไร พระองค์ได้ทรงประหารชีวิตแม่ทัพทั้งคู่โดยไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองเห็นพระองค์เลย ทำให้ทางกองทัพโกรธมาก[7]

มังฆ้องนรธาเองก็รู้สึกกังวลใจเช่นกันเนื่องจากเขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ยกย่องในความสามารถของพระเจ้ามังระ โดยมักจะได้รับคำสั่งให้เป็นผู้ติดตามพระเจ้ามังระเป็นกองหน้าในแทบทุกสงคราม รวมไปถึงความเป็นปฏิปักษ์เก่า ๆ ระหว่างเขากับพระเจ้ามังลอก เขาจึงชะลอการเคลื่อนทัพของทัพหลังกลับไปยังชเวโบอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้ามังลอกได้มีพระบรมราชโองการจับกุมตัวเขา ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าชายมังระก็ตามที แต่มังฆ้องนรธาก็รู้สึกมั่นใจว่าเขาจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และอาจจะถูกประหารชีวิตด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เขาจึงก่อกบฏ ขัดขืนพระบรมราชโองการของพระเจ้ามังลอก แม้ว่าจะยังไม่มีแผนการที่แน่ชัดใดๆ เลยก็ตาม[2]

กองทัพของเขายึดครองอังวะเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1760[1] ทหารของเขาสามารถขับไล่การโจมตีของทัพพระเจ้ามังลอกได้ทุกครั้ง จนกระทั่งเดือนธันวาคม เมืองเริ่มเกิดการขาดแคลนอาหาร เขาเห็นว่าการยอมจำนนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มังฆ้องนรธาและกลุ่มผู้ติดตามที่จงรักภักดีกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากเมือง ซึ่งก็ถูกส่งกองทัพออกติดตามมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เขายังคงได้รับความจงรักภักดีในหมู่ทหารที่ทำให้ฝ่ายติดตามนั้นต้องล่าถอยกลับไป ในแถบลาดเขาในรัฐฉานเหนือกย็อกเซ เขาถูกยิงด้วยปืนคาบศิลา แต่ถึงกระนั้น เขากลับมีพละกำลังเอาชนะศัตรูที่มาจับตัวเขาไว้ และจำต้องถูกปลิดชีวิตโดยการยิงนัดที่สอง ซึ่งเป็นจุดจบชีวิตของสหายร่วมรบของพระเจ้าอลองพญา[3]

มังฆ้องนรธาได้รับความเคารพนับถือแม้กระทั่งจากศัตรู พระเจ้ามังลอก เมื่อศพของเขาถูกนำมาเบื้องหน้าพระองค์ พระเจ้ามังลอกก็ทรงโศกเศร้า และกล่าวว่า "ควรแล้วหรือที่พวกเจ้าจะสังหารชายผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้"[3]