ประวัติ ของ มารายห์_แครี

ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1970 ถึง 1990

มารายห์ แครีย์ เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1970 ที่ เมืองฮันติงตัน รัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องโอเปราและนักฝึกสอนการขับร้องชาวไอริชอเมริกัน ชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า-แอฟริกัน ชื่อ อัลเฟรด รอย แครีย์[14] แครีมีพี่สาวชื่อ แอลิสัน อายุมากกว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน อายุมากกว่าเธอเก้าปี ชื่อของแครีย์นั้นไม่มีชื่อกลาง ส่วนชื่อ "มารายห์" มีที่มามาจากเพลง "(And They Call the Wind) Mariah" ในละครบรอดเวย์เรื่อง "Paint Your Wagon"[15]

จากการที่แครีย์มีผู้ปกครองมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกัน ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาทางด้านการแบ่งแยกเชื้อชาติเสมอ ตั้งแต่การโดนดูถูก เมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกระทำด้วยความรุนแรง เป็นผลให้ครอบครัวของแครีย์ต้องย้ายที่อยู่ไปรอบ ๆ นครนิวยอร์กบ่อย ๆ เพื่อหาที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวได้ทำให้บิดามารดาของเธอหย่าร้างกันในที่สุด ซึ่งขณะนั้น แครีย์มีอายุได้สามขวบเท่านั้น[15] แครีย์และมอร์แกนอาศัยอยู่กับมารดาในขณะที่แอลิสันไปอาศัยอยู่กับผู้เป็นบิดา แครีย์ไม่ค่อยได้ติดต่อกับบิดาของเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น แพทริเชียเลี้ยงดูแครีย์ขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายที่อยู่อาศัยอยู่บ่อย ๆ ในเขตลองไอแลนด์[16]

มารายห์ แครีย์ เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ของเธอเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง จริง ๆ แล้วแพทริเชียชอบพาแครีย์ไปดูการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ แครีย์เริ่มแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มประพันธ์เพลงครั้งแรกตอนกำลังศึกษาในชั้นประถม แครีย์เรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าสู่วงการบันเทิง ทำให้เธอได้ฉายาว่า "มิราจ" (ภาพลวงตา) จากเพื่อน ๆ และเป็นเรื่องแปลกที่แครีย์ไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย[17]

ต่อมา เธอได้รับงานเป็นนักร้องเสียงประสานให้แก่ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี ค.ศ. 1988 ในช่วงนั้น แครีย์ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลง "โคลัมเบีย" ชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปตัวอย่างที่อัดเสียงของแครีย์ตอนร้องเพลงเอาไว้ให้แก่เขา เทปม้วนนั้นเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหาแครีย์ แต่เธอก็กลับไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาแครีย์จนพบและเซ็นสัญญาให้เข้ามาอยู่ในสังกัด[18] เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของแครีย์สู่สายตาของสาธารณชน[19]

การประสบความสำเร็จในช่วงแรก ปี 1990 ถึง 1992

มารายห์ แครีย์ ในปี ค.ศ. 1990

แครีย์เริ่มอาชีพนักร้องเมื่อปี ค.ศ. 1990 ด้วยผลงานอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อชุดตรงกับชื่อของเธอเอง อัลบั้มนี้มีเพลงที่ติดอันดับ 1 ของตารางจัดอันดับเพลงในสหรัฐอเมริกาถึง 4 เพลง ได้แก่ เพลง "Vision Of Love", "Love Takes Time", "Someday" และ "I Don't Wanna Cry"[20] แต่อัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในระดับสากลเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี อัลบั้มของเธอก็ขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ดฮอต 200 โดนยื้อไว้ได้ถึง 11 สัปดาห์ โดยทำยอดขายในปัจจุบันถึง 20 ล้านแผ่น ในปี ค.ศ. 1991 แครีย์ก็ได้รับรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรก กับรางวัลศิลปินป็อปฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมและศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และเธอก็ได้แสดงสดด้วยเพลง vision of love ด้วย[21]

อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ชื่อ Emotions ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 1991 ในอัลบั้มชุดนี้มีซิงเกิลเพลง "Emotions" ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน 3 สัปดาห์[22] จากความสำเร็จดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่เปิดตัวด้วยผลงานซิงเกิลติดอันดับ 1 ในบิลบอร์ดถึง 5 เพลงติดต่อกัน โดยเพลงนี้ ทำให้เธอได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรกคอร์ด โดยเป็นนักร้องที่สามารถทำเสียงได้สูงที่สุด โดยทำได้ถึง G#7 ที่งาน AMA 1991 (บางทีก็บอกว่ามี Bb7)[23] นอกจากนั้น ในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Can't Let Go" ที่หยุดอยู่ที่อันดับ 2[20] และเพลง "Make It Happen" ก็สูงสุดอันดับ 5[20] อีกด้วย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่ดีนักทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขาย นิตยสารโรลลิงสโตนอธิบายไว้ว่า "เหมือนเดิม ด้วยวัตถุดิบที่น่าสนใจน้อย เพลงรักสไตล์ป็อปที่เหมือนขาดไม่ได้" และอัลบั้มนี้มียอดขายถึง 13 ล้านแผ่นในปัจจุบัน[24]

อัลบั้มชุดนี้ แครีย์ได้ร่วมงานกับ โรเบิร์ต คลิวิลส์ กับ เดวิด โคลส์ จากวงซีแอนด์ซี มิวสิก แฟกทอรี และร่วมงานกับ คาโรล์ คิง นักร้อง นักประพันธ์เพลงหญิงชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1970 ในเพลง "If It's Over" ด้วย[25] เธอร่วมทำงานในทุกเพลงของอัลบั้มนี้ เธอกล่าวว่า "ฉันไม่ต้องการให้ Emotions เป็นใครคนอื่นในรูปลักษณ์ของฉัน" และเสริมว่า "มันมีอะไรมากกว่าตัวฉัน ในอัลบั้มนี้"[26] และเธอก็ได้แสดงสดเพลง If It's Over ที่งาน Grammy Award ในปี 1992 ด้วย

ในปี ค.ศ. 1992 แครีย์ได้แสดงคอนเสิร์ตจริงครั้งแรกกับเอ็มทีวี ในรายการ “MTV Unplugged” โดยเธอได้นำเพลงจากอัลบั้มสองชุดแรกมาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบที่ไม่ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า และได้ร้องเพลง "I'll be there" เพลงเก่าของวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ร่วมกับเทรย์ โลเรนซ์ (เพลงนี้ได้เป็นเพลงซิงเกิลในภายหลัง และประสบความสำเร็จจนติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา[20]) เพลงที่ร้องในการแสดงสดครั้งนี้ ได้รับการบันทึกลงในอัลบั้มอีพีของเธอที่ชื่อ MTV Unplugged โดยมีเพลงทั้งหมด 7 เพลงด้วยกัน ซึ่งนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนวีกลี ให้ความเห็นว่า "แข็งแกร่งที่สุด เป็นการบันทึกเสียงที่แท้จริงที่เธอเคยทำมา หรือการแสดงสดครั้งนี้จะช่วยให้เธอก้าวสู่การเติบโตครั้งแรก"[27] โดยอัฃบั้มนี้ ก็มียอดขายสูงถึง 7 ล้านแผ่น นับเป็นการบันทึกเสียงที่มียอดขายสูงมาก

ความสำเร็จไปทั่วโลก ปี 1993 ถึง 1996

มารายห์ แครีย์แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา[17] ต่อมาแครีย์ออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้มียอดขายรวมมากกว่า 10 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยที่เปิดตัวด้วยซิงเกิล "Dreamlover" ที่ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกานาน 8 สัปดาห์[22] และซิงเกิลถัดมา เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังใจที่ชื่อ "Hero" ก็ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา นาน 4 สัปดาห์[22] นิตยสารบิลบอร์ดกล่าวไว้ว่า "ช่างปวดใจเหลือเกิน ...เป็นการใช้สิ่งพื้นฐาน ง่าย ๆ ของแครีย์ เสียงของเธอช่างเป็นธรรมชาติกับเพลง"[28] แต่ทาง นิตยสารไทม์ กล่าวทำนองว่า "อัลบั้ม Music Box นี้ ดูทำเป็นพอพิธี และขาดความน่าหลงใหล ...แครีย์สามารถเป็นนักร้องเพลงป็อป-โซล ที่ดีได้ แทนการพยายามทำให้เหมือนความสามัญอย่างซาลิเอรี"[29] แครีย์ได้ออกมาให้ความเห็นว่า "ทันทีที่คุณประสบความสำเร็จ ก็จะมีหลาย ๆ คนไม่ชอบอย่างนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้จริง ๆ สิ่งที่ฉันพอทำได้คือทำดนตรีในสิ่งที่ฉันเชื่อมั่น"[30] คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนการทัวร์ Music Box Tour ในอเมริกาเล็กน้อย[31] ส่วนซิงเกิลที่ 3 เพลง "Without You" ซึ่งเป็นเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน ที่เธอนำมาขับร้องใหม่ ก็เป็นเพลงแรกที่ไปติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรได้เป็นเพลงแรกและกลายเป็นเพลงท่มียอดขายสูงที่สุดของเธอด้วย และปัจจุบัน อัลบั้มนี้ก็มียอดขายถึง 32 ล้านแผ่น นับเป็น 1 ใน 30 อัลบั้มที่มียอดขายมากที่สุดตลอดการของโลก และเป็นอัลบั้มแรก ที่ได้ Diamond Album[22]

ช่วงปี ค.ศ. 1994 แครีย์ได้ร่วมงานกับ ลูเธอร์ แวนดรอส ในอัลบั้ม Songs โดยได้นำเพลง "Endless Love" เพลงเก่าของไลโอเนล ริชชี และ ไดอาน่า รอสส์ กลับมาร้องใหม่[32] ปลายปีเดียวกันนั้น แครีย์ยังได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสอีก 1 ชุด โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลง "All I Want For Christmas Is You" ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ซิงเกิลนี้มียอดขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นถึง 1.1 ล้านชุดด้วยกัน[33] และยังคงเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของเธอในญี่ปุ่นอีกด้วย เว็บไซต์ All Music Guide วิจารณ์ไว้ว่า "ทำให้ดูเหมือนอุปรากรชั้นสูงในเพลง 'O Holy Night' และทำเพลงแด๊นซ์คลับที่ดูน่ากลัวในเพลง 'Joy to the World'"[34] อัลบั้มชุดนี้ก็ถือเป็นอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาลโดยมียอดขายสูงถึง 14 ล้านแผ่น[35]

ในปี ค.ศ. 1995 แครีย์ได้ออกผลงานอัลบั้ม Daydream ซึ่งอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานดนตรีแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป็อปเข้าด้วยกัน โดยอัลบั้มนี้มีเพลง "Fantasy" เป็นซิงเกิลแรก ทำงานร่วมกับ โอล' เดอร์ตี บาสตาร์ด ศิลปินฮิปฮอป แครีย์พูดว่าทางค่ายโคลัมเบีย ต้นสังกัด ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในชุดนี้ "ทุก ๆ คนพูดเหมือนว่า 'คุณบ้าไปแล้วเหรอ' พวกเขารู้สึกกังวลมากในการเปลี่ยนแปลงสูตรเก่า ๆ "[36] เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าตารางอันดับเพลง[22] ซึ่งนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำสถิติได้เช่นนี้ และเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก โดยได้อันดับ 1 นานถึง 8 สัปดาห์[37] เป็นเพลงที่ 2 ถัดจากเพลง "You Are Not Alone" ของ ไมเคิล แจ็กสัน อีกด้วย[38] ส่วนซิงเกิลที่ 2 เพลง "One Sweet Day" ที่ร่วมร้องกับวงแนวดนตรีอาร์แอนด์บีที่ชื่อ บอยซ์ ทู เม็น ก็ขึ้นอันดับ 1 นานที่สุดในประวัติศาสตร์บนตารางอันดับเพลงซิงเกิลในสหรัฐอเมริกา นานถึง 16 สัปดาห์[39] และซิงเกิลที่ 3 "Always Be My Baby" ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ สามารถขึ้นอันดับ 1[20] เช่นกัน รวมถึง มียอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 1996 ด้วย[40]

นิตยสารบิลบอร์ด พูดว่า อัลบั้ม Daydream ได้สร้างเสียงตอบรับที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับอาชีพนักร้อง[41] และนิวยอร์กไทม์ยังให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 1995 และยังเขียนไว้ว่า " การตัดความเป็นป็อปลูกกวาดออกสู่ ความละเอียดปราณีต ... การเขียนเพลงของเธอได้ก้าวกระโดด ผลคือดูสบายขึ้น เซ็กซี่ขึ้น และดูลดความน่าเบื่อคุ้นหูออก[42]

นอกจากผลงานของเธอแล้ว ในช่วงปีนี้ แครีย์ยังได้ไปร่วมประสานเสียงให้แก่เพลง "Everytime I close My Eyes" ของเบบี้เฟส อีกด้วย โดยอัลบั้ม Daydream มียอดขายสูงถึง 25 ล้านแผ่น โดยเป็น Diamond Album ชุดที่ 2 ของเธอด้วย

ความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ใหม่ ปี 1997 ถึง 2000

ในปี ค.ศ. 1997 มารายห์ แครีย์ และทอมมี่ มอตโตล่า ก็ต้องแยกทางกัน หลังจากที่เธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนว่าเธอมีความสุขในชีวิตคู่ ซึ่งแท้จริงแล้วแครีย์ไม่มีความสุขเลย เธอถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง เธอถูกเฝ้าดูทุกฝีก้าว ไม่มีความเป็นอิสระ จนสุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา[43]

ในปีเดียวกันนี้ อัลบั้ม Butterfly ของเธอก็ออกวางจำหน่าย และขึ้นอันดับ 1[44] ในสัปดาห์แรกเป็นครั้งที่ 2 ภาพลักษณ์ของเธอในอัลบั้มชุดนี้เน้นไปที่ความเซ็กซี่เป็นหลัก ส่วนเพลงที่อยู่ในอัลบั้มชุด นี้แครีย์ได้สร้างออกมาในดนตรีแนวอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปอย่างจริงจัง อัลบั้มนี้เธออธิบายไว้ว่า ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเธออย่างเต็มที่ ในผลงานเพลงชิ้นนี้[45] อย่างไรก็ตามเธอก็เสริมต่อว่า "ฉันไม่คิดว่า มันจะเป็นอะไรที่หลุดจากความเป็นตัวฉัน ที่เคยทำมาแต่ก่อน"[46] เว็บไซต์ LAUNCHcast วิจารณ์ไว้ว่า "นี่อาจพิสูจน์ได้ว่าแฟนเก่าแก่ อาจกระอักกระอ่วนได้" แต่ก็ชมว่า "เป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมยินดี"[47] โดยในซิงเกิลเพลงแรกที่ชื่อ "Honey" เธอก็ได้ร่วมกันสร้างกับศิลปินแร็ปที่ชื่อ พัฟฟ์ แดดดี้ (ในขณะนั้น) ส่วนเพลง "My All" นั้น ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 บนตารางอันดับเพลงซิงเกิลเป็นเพลงที่ 13[20] ส่วนเพลง "Butterfly" ที่มีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตคู่ของเธอ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อัลบั้ม Butterfly ทำยอดขายรวม 18 ล้านแผ่น

ต่อมา แครีย์ได้เปิดสังกัดเพลงเล็ก ๆ ชื่อเครฟ เรคคอร์ดส โดยมีศิลปินอย่าง อัลลัวร์ หรือเซเว่น ไมล์ ที่เข้ามาสังกัดกับค่ายนี้ เป็นต้น แต่สุดท้ายก็ได้ยุติกิจการไปในที่สุด ส่วนของงานเบื้องหลังนั้น ในช่วงปีนี้ เธอได้ทำหน้าที่เป็นนักประพันธ์เพลงและควบคุมการบันทึกเพลง ให้แก่ศิลปินคนอื่น ๆ โดยตัวอย่างงานประพันธ์เพลงของเธอนั้นได้แก่ เพลง "Head Over Heels" และ "Last Chance" ของอัลลัวร์ เพลง "Make You Happy" ของเทรย์ โลเรนซ์ (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล (Men in Black)) และเพลง "Where Are You Christmas" ของเฟธ ฮิลล์ (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง) เป็นต้น ส่วนงานทางด้านการควบคุมการบันทึกเพลงให้ศิลปินอื่น ก็ได้แก่ เพลง "All Cried Out" ของอัลลัวร์ เพลง "After" ของวงเซเว่น ไมล์ และเพลง "Don't Go Looking For Love" ของวงบลาค เป็นต้น[48]

ภาพถ่ายมิวสิกวิดีโอ "I Still Believe"

ในปี ค.ศ. 1998 แครีย์ก็ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงที่ติดอันดับ 1 บนตารางอันดับเพลง โดยใช้ชื่อว่า #1s โดยมีเพลงดังอย่าง "I Still Believe" ซึ่งเป็นเพลงเก่าของเบรนด้า เค. สตารร์ ที่ได้รับความนิยมในปี ค.ศ. 1988 รวมอยู่ในนั้นด้วย (ในเวอร์ชันปี 1988 ของเพลงนี้ แครีย์ได้มีส่วนร่วมในการร้องประสานเสียงด้วย) ยอดขายอัลบั้มนี้ รวม 20 ล้านแผ่น[49]

และที่สร้างความประหลาดใจคือ เธอยังได้ร่วมร้องเพลงคู่กับวิทนีย์ ฮูสตัน ในเพลง "When You Believe" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะ พริ้นซ์ ออฟ อียิปต์ (The Prince Of Egypt) โดยเพลงนี้ได้รางวัลจากการประกวดออสการ์อีกด้วย[50] นิตยสารเอ็นเอ็มอีวิจารณ์ไว้ว่า "เพลงนี้มีความ หวานอย่างไร้สาระ เหมือนเพลง 'Hero'"[51] แครีย์ยังได้มีส่วนร่วมกับงานวีเอชวัน ดีวาส์ ทางช่องวีเอชวัน โดยเป็นคอนเสิร์ตที่รวมศิลปินหญิงชื่อดังอย่าง อารีธา แฟรงคลิน, เซลิน ดิออน, กลอเรีย เอสเตฟาน, คาโรล์ คิง และชาเนีย ทเวน มาแสดงร่วมกันโดยเธอได้แสดงเพลง My all,Chains of Fool,Make it Happen นอกจากนั้น ในปีนี้ แครีย์ยังเป็นข่าวกับนักกีฬาเบสบอลทีมนิวยอร์กแยงกี้ส์ที่ชื่อ เดเรค เจเตอร์ อีกด้วย

ในปี ค.ศ. 1999 แครีย์ได้ออกอัลบั้มมาอีก 1 ชุด โดยใช้ชื่อว่า Rainbow ที่เธอทำเพลงแนวฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี อย่างอัลบั้ม Butterfly โดยซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Hearbreaker" ได้เจย์-ซี มาร่วมร้อง ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้มีค่าใช้จ่ายในการทำมิวสิกวิดีโอมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ด้วยเงินลงทุน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[52]ซิงเกิลที่ 2 "Thank God I Found You" ได้ร่วมงานกับโจ และวงไนน์ตี้เอท ดีกรีส์ เพลงนี้เป็นเพลงอันดับ 1[20] เพลงที่ 15 ในสหรัฐอเมริกาของเธอทางฝั่งสหราชอาณาจักร แครีย์ได้ออกวางขายซิงเกิล "Against All Odds (Take A Look At Me Now)" เพลงเก่าของฟิล คอลลินส์ ในปี ค.ศ. 1984 โดยได้ร่วมร้องกับวงบอยแบนด์ เวสท์ไลฟ์ ขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 2 ของเธอตัวอัลบั้มในสหรัฐอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอัลบั้มชุดก่อน ๆ โดยขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา[44] สำหรับเสียงวิจารณ์ของอัลบั้ม Rainbow ซันเดย์เฮอรัลด์ พูดไว้ว่า "ก้าวเดินที่ไม่มั่นคงแต่น่าประทับใจ ระหว่างเพลงโซลบัลลาดกับการ่วมงานกับศิลปินอาร์แอนด์บีที่มีชื่อเสียง อย่างสนูป ด็อกกี้ ด็อก ,อัชเชอร์ ... เป็นอัลบั้มป็อป-โซล ที่สละสลวย"[53] นิตยสารไวบ์พูดคล้าย ๆ กันว่า "Rainbow จะเป็นอัลบั้มที่คงไปด้วยความเลื่อมใส ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายที่ต่ำที่สุดของแครีย์" ยอดขายรวม 10 ล้านแผ่น[54]

ท้ายปี นิตยสารบิลบอร์ด ได้แจกรางวัลให้แก่เธอ รางวัลศิลปินแห่งทศวรรษ และแครีย์ยังได้รางวัลจากเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส รางวัลศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ นอกจากนี้เธอยังทำสถิติเป็นศิลปินคนเดียวในประวัติศาสตร์ อันดับเพลงในนิตยสารบิลบอร์ดที่มีเพลงอันดับ 1 ทุก ๆ ปีในทศวรรษที่ 90 (ปี ค.ศ. 1990-1999)[55] นอกจากนี้แครีย์ยังได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนวอาร์แอนด์บี โดยได้ทำงานกับเจย์-ซี เพลง "Things That U Do" และ "Got A Thing For You" ของดา แบรท

อุปสรรคในเรื่องส่วนตัวและอาชีพ ปี 2001 ถึง 2003

หลังจากที่เธอได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส แครีย์ได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และได้เซ็นสัญญากับอีเอ็มไอด้วยเงิน 80 ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001[56] ในช่วงนั้นร่างกายและจิตใจเธอทรุดโทรมลงมาก แครีย์ได้ทิ้งข้อความเสียงลงเว็บไซต์ของเธอ[57] ถึงเรื่องการทำงานหนักมากของเธอในรอบหลายปี นอกจากนั้นความสัมพันธ์กับนักร้องละติน ลุยส์ มิเกลก็จบลง เธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า "ฉันอยู่กับคนที่ไม่รู้จักฉันจริง ๆ และฉันก็ไม่สามารถจัดการเรื่องส่วนตัวได้ ทั้งให้สัมภาษณ์ทั้งวัน มีเวลานอนแค่ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น "[58] แครีย์ยังได้แสดงกิริยาหลุดโลกในรายการของเอ็มทีวี รายการ TRL (Total Request Live) โดยถอดเสื้อผ้าออกกลางรายการ[59]

แครีย์ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นตัวเอกในเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ Glitter ภาพยนตร์ออกฉายในวันที่ 21 กันยายน หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากและล้มเหลวในตารางอันดับภาพยนตร์ทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิส[60]เมื่อเวอร์จิ้น เรคคอร์ดส ออกขายอัลบั้มที่ 10 ของเธอ "Glitter" แครีย์ก็ไม่สามารถที่จะประชาสัมพันธ์อัลบั้มชุดนี้ได้เท่าที่ควรเนื่องจากเธอประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ และการวางขายอัลบั้มในวันที่แย่ที่สุดคือ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 (วันเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน) อัลบั้มเข้าตารางอันดับที่อันดับ 7[44] ซึ่งแย่ที่สุดที่เคยทำได้ หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์โพสต์-ดิสแพตช์ เขียนไว้ว่า "นี่เป็นช่วงตกต่ำที่สุดของอาชีพเธอ"[61] และนิตยสารเบล็นเดอร์เขียนไว้ว่า "หลังจากที่เธอรุ่งเรืองในอาชีพของเธอ ไม่ว่าจะเป็นยอดการเปิดทางวิทยุ แต่ตอนนี้แทบไม่เป็นเช่นนั้นเลย"[62] "Loverboy" ซิงเกิลแรกในอัลบั้มนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 เนื่องจากแผนการตลาดลดราคาเหลือ 99 เซ็นต์[63]แครีย์ได้ร้องเพลง "Hero" ในวันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย.[17] และในเดือนธันวาคมเธอได้ร้องเพลงให้แก่กองทัพอเมริกันก่อนไปคอซอวอหลังออกอัลบั้ม Glitter โซนี่ได้ออกอัลบั้ม Greatest Hits ก่อนช่วงคริสต์มาส อัลบั้มนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในตารางอันดับเพลง (สูงสุดที่อันดับ 52[44])

เดือนมกราคม ค.ศ. 2002 อีเอ็มไอตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเธอด้วยเงิน 20 ล้านปอนด์[56] เธอให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาที่อยู่กับต้นสังกัดเวอร์จิ้นว่า "เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด การตัดสินใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์การเงิน แต่ฉันไม่ได้ตัดสินใจเพราะเกี่ยวกับเงินที่ได้ ฉันเรียนรู้บทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์ครั้งนี้"[64] และหลังจากนั้นหนึ่งปีแครีย์ได้เซ็นสัญญาอีกครั้งกับ “Island Records” ด้วยสัญญา 20 ล้านเหรียญและเปิดค่ายใหม่ของเธอ MonarC[65] ต่อมากรกฎาคม ปี 2002 เป็นช่วงที่พ่อของเธออัลเฟรด รอย แครีย์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง[66]

แครีย์ได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องไวส์เกิร์ลส (WiseGirls)แครีย์ ได้ออกอัลบั้ม Charmbracelet กับสังกัดใหม่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ติดบนตารางอันดับอัลบั้มสูงสุดอันดับ 3[44] ในอัลบั้มนี้แครีย์ได้ถ่ายทอดเพลงผ่านบทเพลงซึ่งมีความหมายกับเธอและแฟนเพลง อย่างเพลง "Through The Rain" นอกจากนั้นในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Boy (I Need You)" ได้ร่วมงานกับศิลปินแนวแร็ปอย่างแคม'รอน รวมถึงได้นำเพลงเก่าของเดฟ เล็พพาร์ด ในปี 1993 นำมาทำใหม่ในเพลง "Bringin' On The Heartbreak" สำหรับเสียงวิจารณ์ในอัลบั้มชุดนี้ เดอะบอสตันโกลบ วิจารณ์ไว้ว่า "แย่ที่สุดของเธอ เผยเสียงร้องที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสียงขึ้นลงที่เข้มแข็งหรือเสียงกระซิบที่อ่อนนุ่ม"[67] นิตยสารโรลลิงสโตน วิจารณ์ว่า "แครีย์ต้องเน้นเพลงให้เธอให้ดูมีพละกำลังขึ้นและความกว้างของเสียงที่เธอเคยโด่งดังมาก่อน Charmbracelet เหมือนสีน้ำที่ไหลซึมออกมาจากบ่อ"[68]

ในปี 2003 แครีย์ได้ร่วมงานกับบัสตา ไรมส์ ในเพลง "I Know What You Want" เพลงนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 3[20] ในสหรัฐอเมริกาและบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ The Remixes ของเธอด้วย

การกลับมาของเธอ ปี 2004 ถึง 2007

ถ่ายร่วมกับ แอล.เอ. ลีด ในงานเปิดตัวอัลบั้ม The Emancipation of Mimi

ในปี 2004 แครีย์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi โดยปลายปี 2004 เธอได้ร่วมงานกับจาดาคิส ในเพลง "U Make Me Wanna" ซึ่งสามารถเข้าถึง 10[20] อันดับแรกบนตารางอันดับเพลงบิลบอร์ด อาร์แอนด์บี/ฮิปฮอป ซิงเกิลส์ ชาร์ท

แครีย์ได้ปฐมทัศน์เพลง "It's Like That" ที่เพียวคลับในลาสเวกัส[69] ได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีและเพลงนี้ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 16 ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด สื่อต่าง ๆ ให้ความเห็นว่านี่คือการกลับมาของแครีย์ในคำประกาศโดยใช้คำว่า "การกลับมาของเสียงร้อง" (The Return Of The Voice)[70]อัลบั้ม The Emancipation of Mimi เธอได้ร่วมงานกับเดอะเนปจูนส์ , คานยี เวสต์ รวมไปถึงเจอร์เมน ดูปริ อัลบั้มนี้ได้ขึ้นอันดับ 1 ในตารางอันดับอัลบั้มบิลบอร์ดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขายซิงเกิลที่ 2 "วีบีลองทูเกเตอร์" ได้รับการโหมเปิดทางวิทยุจนขึ้นอันดับ 1[20] ในตารางอันดับเพลงเป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ของแครีย์เพลงแรกในรอบ 5 ปี และเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอซิงเกิลที่ 3 "Shake It Off" ก็ยังได้รับการเปิดทางสถานีวิทยุอย่างมากจนทำให้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2[20] ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด อีกทั้งซิงเกิลที่ 4 "Don't Forget About Us" ขึ้นอันดับ 1[20] บนตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ดเป็นเพลงที่ 17

อัลบั้ม The Emancipation of Mimi ชุดนี้ก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดประจำปีและได้รับ 3 รางวัลแกรมมี่ (อัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม, เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม จากเพลง "We Belong Together", ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม)[71] และในปี 2007 แครีย์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล "ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม" และ "เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม" อีกครั้งกับเพลง "Don't Forget About Us"[72] เดอะการ์เดียน วิจารณ์อัลบั้มชุดนี้ไว้ว่า "เยี่ยม.. ชุดนี้เน้นไปที่เพลงเมืองคนเมือง มารายห์ได้ปรับตัวได้ในรอบหลายปี"[73] ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2005 แครีย์ได้ร่วมแสดงในงานคอนเสิร์ตไลฟ์เอทที่เวทีลอนดอน โดยร้องเพลง "Make It Happen" และ "Hero" ซึ่งร้องกับคณะประสานเสียงแอฟริกัน ชิลเดรน'ส ไควร์ และจบด้วยเพลง "We Belong Together" โดยมีเพื่อนเก่าอย่างแรนดี้ แจ็คสัน คณะกรรมการอเมริกันไอดอลมาร่วมแสดง[74]

แครีย์ได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่าง ๆ ในชื่อทัวร์ว่า “The Adventures of Mimi” ช่วงซัมเมอร์ ปี 2006[75]

ปี 2007 ถึง 2010

ช่วงกลางปี 2006 หลังจากที่ได้เริ่มทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 11[76] E=MC² ผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ที่ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์อย่าง ซี. “ทริกกี้” สจ๊วต กับ เดอะ-ดรีม ก็ยังมีบรรดาโปรดิวเซอร์รับเชิญไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน ดูปริ ,ดีเจ ทูมป์ หรือแม้กระทั่ง วิลล์ ไอ แอม เป็นต้น กับซิงเกิลแรก "ทัชมายบอดี"[77] ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับ ทำให้เธอมีเพลงอันดับ 1 ถึง 18 ซิงเกิล แซงหน้า เอลวิส เพรสลีย์ที่มีซิงเกิลอันดับ 1 อยู่ 17 ซิงเกิล[78] และจำนวนสัปดาห์ของซิงเกิลอันดับ 1 รวมกันได้ 79 สัปดาห์ ซึ่งมีสถิติตามหลังเพียงเอลวิส เพรสลีย์ที่มีผลรวมที่ 80 สัปดาห์[79]

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2008 แครีย์แต่งงานกับนิก แคนนอน นักแสดง เธอแต่งที่เกาะวินเดอร์แมร์ในบาฮามาส[80][81][82] แครีย์บอกว่าเธอรู้สึกว่า ทั้งคู่เป็นโซลเมตกัน[83] แครีย์แสดงเพลง "Hero" ในงานสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของประธานาธิบดีชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ บารัก โอบามา เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2009 ต่อมาแครีย์ได้ร่วมงานกับซิงเกิลที่ 2 ในอัลบั้ม Love vs. Money ของเดอะดรีม ชื่อเพลง "My Love"[84]

แครีย์ออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 12 ในชื่อ Memoirs of an Imperfect Angel มีซิงเกิลแรกคือ "Obsessed" เข้าชาร์ตสัปดาห์แรกที่อันดับ 11 และทำอันดับสูงสุดที่อันดับ 7 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ถือเป็นซิงเกิลลำดับที่ 40 ที่ติดชาร์ตนี้ ทั้งนี้แครีย์ถือเป็นนักร้องหญิงคนที่ 8 ที่มี 40 ซิงเกิลบนบิลบอร์ดฮอต 100 โดยอารีธา แฟรงกลิน มีมากที่สุดอยู่ 76 เพลง[85]

ซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม นำเพลงเก่าของโฟไรเนอร์มาทำใหม่ ที่ชื่อ "I Want to Know What Love Is" ขึ้นอันดับสูงสุดด้วยอันดับ 60 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จระดับปานกลางในที่อื่นทั่วโลก อัลบั้ม Memoirs of an Imperfect Angel ออกวางขายวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2009 ในสหรัฐอเมริกา เปิดตัวสัปดาห์แรกบนบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 3 กับยอดขาย 168,000 ชุด น้อยกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ E=MC2 อย่างมาก[86] เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ในระหว่างการแสดงส่วนตัวในนิวยอร์กเธอประกาศว่า ซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้มนี้จะเป็นซิงเกิล "H.A.T.E.U."[87][88] แครีย์ได้แสดงคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในที่พักเพื่อประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตของเธอที่ชื่อ Live At The Pearl ที่เธอแสดงเป็นเวลา 2 วันในเดือนกันยายนในลาสเวกัส ก่อนที่อัลบั้มจะออก 2 วัน[89] แครีย์แสดงในคอนเสิร์ตก่อนวันปีใหม่ในปี 2009 ที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์คอนเสิร์ตใหม่ของเธอ

วันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2010 ผลงานอัลบั้มชุดต่อมาของเธอจะออกจำหน่ายในชื่อว่า Angels Advocate ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวบรวมเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม Memoirs of an Imperfect Angels มาทำใหม่ในรูปแบบเพลงรีมิกซ์ มีศิลปินรับเชิญมาร่วมงานอย่างนี-โย, อาร์. เคลลี, แมรี เจ. ไบลจ์ และนิกกี มานาจ ทั้งนี้แครีย์ยังได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เช่นเจอร์เมน ดูปรีและทิมบาแลนด์ด้วย แต่ในท้ายที่สุดก็ได้ประกาศยกเลิกไป เพราะเห็นว่าตัวอัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร[90] เพลง 100% เป็นเพลงที่แต่เดิมจะใช้ประกอบภาพยนตร์ พรีเชียส ที่แครีย์ร่วมแสดง แต่ต่อมาเพลงนี้ได้ใช้เป็นเพลงประกอบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 ที่จัดขึ้นที่ประเทศแคนาดา ซึ่งมิวสิกวีดีโอของเพลงดังกล่าวได้ถ่ายทำในระหว่างที่แครีย์ทัวร์คอนเสิร์ต ณ เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา[91]

แหล่งที่มา

WikiPedia: มารายห์_แครี http://www.smh.com.au/articles/2003/03/31/10489626... http://top40.about.com/b/2005/06/04/mariah-carey-c... http://top40.about.com/od/reviews/gr/mcemotion.htm http://www.alaskajim.com/charts/yearlysingles/1996... http://www.allmusic.com/album/merry-christmas-r206... http://www.allmusic.com/artist/mariah-carey-p62404 http://www.att.com/gen/press-room?pid=4800&cdvn=ne... http://www.azcentral.com/ent/music/articles/0711mi... http://www.baltimoresun.com/entertainment/music/ba... http://www.beastiemania.com/whois/starr_brenda_k/