ประวัติ ของ มาริโอ้_เมาเร่อ

ชีวิตช่วงแรก

มาริโอ้ เมาเร่อ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2531[1] ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน กรุงเทพฯ ชื่อมาริโอ้นั้น บิดาเป็นคนตั้งให้ โดยตั้งชื่อตามนักแข่งมอเตอร์ไซค์ชาวอิตาเลียน[2] และเริ่มมีชื่อภาษาไทยที่ใช้ในช่วงเข้าโรงเรียนว่า ณัฐวุฒิ สุวรรณรัตน์[3] เหตุที่มีชื่อภาษาไทย เพราะแต่ก่อนโรงเรียนไม่ให้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ และได้ใช้ชื่อดังกล่าวเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น (ชื่อปัจจุบันตามบัตรประจำตัวประชาชนคือ มาริโอ้ เมาเร่อ) [4] มาริโอ้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลลีนา[5] ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา ที่ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก[1] และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง[6] แต่ต่อมาย้ายเรียนในสาขานิติศาสตร์แทน[7] ในช่วงที่มาริโอ้เลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เป็นช่วงเวลาขณะที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ก็มีการโต้เถียงกับแม่เรื่องมหาวิทยาลัยที่จะเลือกเรียน โดยทางคุณแม่อยากให้เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่สุดท้ายมาริโอ้ก็ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะต้องทำงานไปด้วย และอยากหาเงินช่วยที่บ้าน อีกทั้งค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า[8] ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ที่วิทยาลัยสื่อสารการเมือง หลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ปีการศึกษา 2560 ได้ผลการเรียนเฉลี่ย 3.2[9]

ครอบครัวของมาริโอ้ค่อนข้างมีปัญหาทางด้านการเงิน[5] พออายุได้ 16 ปี ได้เจอกับโมเดลลิ่งชื่อ นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้[10][11] ที่สยามสแควร์และเป็นคนแรกที่ชักชวนไปถ่ายแบบ เมื่อเห็นตรงนี้เป็นโอกาส และเป็นโอกาสที่ดีจะได้หาเงินไปช่วยที่บ้านด้วยจึงตัดสินใจรับงาน[5] โดยครั้งแรกเป็นการถ่ายแบบจากหนังสือเดอะบอย สไตล์ชุดทหาร[12] และผลงานที่สร้างชื่อเสียงครั้งแรกกับผลงานโฆษณาตัวแรก คือ เอ็กซิท โรลออน[12] ซึ่งได้เงินมาก้อนแรก 7 หมื่นบาท[5] และยังมีโฆษณาอื่นอย่าง ขนมแจ็กซ์ เดอะพิซซ่าคอมปะนี และยังได้ถ่ายแบบอยู่เรื่อย ๆ อย่าง เธอกับฉัน และหนังสือวัยรุ่นอีกหลายเล่ม และถ่ายมิวสิกวิดีโออีกหลายตัว มิวสิกวิดีโอตัวแรกที่ถ่ายทำเป็นของวงสิงห์เหนือเสือใต้ ชื่อเพลง Good[13] และมิวสิกวิดีโอตัวอื่นเช่น กุญแจที่หายไป ของ ปาล์มมี่, ปากดีขี้เหงาเอาแต่ใจ ของ มิล่า เป็นต้น[1]

รักแห่งสยาม

สัมภาษณ์ร่วมกับทีมนักแสดงและผู้กำกับเรื่อง รักแห่งสยาม

ในปี พ.ศ. 2550 มีคนติดต่อเข้ามาและส่งบทสั้นๆ ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม มาให้ดู มาริโอ้จึงลองไปทดสอบการแสดง จนได้รับบทตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งชูเกียรติให้ความเห็นที่รับมาริโอ้มาเล่นเพราะ ชอบแววตา สามารถสื่ออารมณ์ผ่านแววตาได้ดี[10] สำหรับด้านการแสดงก่อนหน้านั้นก็เคยเรียนการแสดงมาบ้าง ที่สมาคมผู้กำกับ แล้วพอได้มาเล่นก็ต้องไปเวิร์คชอปกับนักแสดงอื่น[14] ภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้ รับบทเป็น "โต้ง" เด็กชายวัยรุ่น ชั้น ม.6 ที่กำลังมีความสับสนกับการเลือกทางเดินในชีวิต[15] ในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ มาริโอ้ยังได้ทำผลงานเพลงใต้ดิน แนวฮิปฮอป[16] ร่วมกับพี่ชายของเขา มาร์โค เมาเร่อ ในนาม PsyCho & Lil’Mario กับอัลบั้มแรก PsyCho & Lil’Mario:Dem Crazy Boyz สังกัดเอ็นวายยูคลับ ออกวางขายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550[17] เป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษล้วน โดยมาริโอ้ทำหน้าที่เป็นไฮพ์แมน (hypeman) ในอัลบั้มนี้[18] ซึ่งเคยได้ขึ้นร้องโชว์ในงานแฟตเฟสติวัลอีกด้วย[19]

มาริโอ้ เมาเร่อ รอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง 3 อหังการ์ เจ้าสุริยา

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ออกฉาย ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระทู้มากมายตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ หรือตามเว็บบอร์ดยอดฮิตของอีกหลายๆ เว็บไซต์[20] รวมถึงมีการตั้งคำถามขึ้นว่า มาริโอ้เป็นเหมือนในหนังหรือไม่ มาริโอ้ให้คำตอบว่า "ชอบผู้หญิงแน่นอน"[21] มาริโอ้ก็พูดถึงฉากที่มีคนพูดถึงมากนี้ว่า "เป็นฉากที่ยากฉากหนึ่ง แต่ก็ทำทุกอย่างให้มันเต็มที่"[22]

รางวัลที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม มาริโอ้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากนิตยสารสตาร์พิกส์ ซึ่งได้เสียงวิจารณ์การแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เนื่องจากบุคลิกนิ่งๆ คำพูดคำจาน้อยๆ แต่เขากลับเผยทุกอย่างผ่านแววตาอันสับสน หวาดกลัว ซ้ำถูกความหงอยเหงาเข้าปกคลุมชีวิตมาเนิ่นนาน แม้ดูเหมือนไม่หวือหวาอะไร แต่มาริโอ้คือคนที่ทำให้หนังเรื่องนี้ระทมจนขยี้ใจผู้ชมเป็นผุยผง โดยการแสดงแบบ 'น้อยได้มาก'"[23] และในด้านงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮ่องกง พ.ศ. 2551 มาริโอ้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์ม สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) [24] แต่พ่ายให้กับฮองลี ซุน นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง มองโกล[25] อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม[26] รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 ที่จัดโดยสมาคมนักข่าวบันเทิง ในสาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม[27] แต่พ่ายให้กับอัครา อมาตยกุล จากภาพยนตร์เรื่อง ไชยา ทั้ง 2 รางวัล[28][29]

นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังซีเนมะนิลา ที่จัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้[30] โดยพูดถึงการแสดงของเขาว่า "มาริโอ้มีการแสดงที่มีวุฒิภาวะในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย แม้ท่าทางภายนอกของเขาจะดูนิ่งสงบก็ตาม แต่มาริโอ้กลับแสดงให้เห็นการต่อสู้ในจิตใจของเขา ในการที่จะแบกรับภาระความรู้สึกของครอบครัว เพื่อน กลุ่มสังคม ความรัก และภาวะทางเพศของเขา"[31]

พ.ศ. 2551 – ปัจจุบัน

มาริโอ้ โชว์ตัวในงานต่าง ๆ ซึ่งบางวันถึงกับมีงานวันละ 4 งานก็มี

หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ส่งผลให้มาริโอ้ได้รับความนิยมมากขึ้น มีงานเพิ่มขึ้นมามากมาย บางวันถึงกับต้องทำงานวันละ 4 งานก็มี รวมถึงรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ดังอย่าง โฟร์โมสต์ รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ[32] และแป้งเบบี้มายด์[33]ซึ่งทำให้ยอดขายเบบี้มายด์เติบโตถึง 50%[34] นอกจากนี้ยังมีผลงานเล็กๆ เป็นซีดีสอนภาษาอังกฤษ เป็นรายการถ่ายชีวิตประจำวันของมาริโอ้ มีลักษณะคล้ายๆ กับภาพยนตร์สั้น[35]

ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของมาริโอ้คือเรื่อง เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน ของค่ายไรท์ บิยอนด์ กำกับโดย ไรท์ เบรนทีม[36]เป็นเรื่องราวเมื่อราว 25 ปีก่อน[37] โดยมาริโอ้รับบทเป็นสิงหา เด็ก ม.6 ที่ชอบนางเอกที่ชื่อ มิถุนา แสดงโดยอภิญญา สกุลเจริญสุข[38] ภาพยนตร์เรื่องนี้มาริโอ้ผ่านการทดสอบบท โดยผู้จัดการส่วนตัวสมัครผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งเรื่องนี้ได้แสดงออกเยอะขึ้นกว่าเรื่องแรก ได้แสดงความรู้สึกหลายอารมณ์[39] สำหรับคำวิจารณ์การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล จากเว็บไซต์ thaicinema.org วิจารณ์ไว้ว่า "ความสำเร็จและคำยกย่องที่เขาได้รับจากหนังเรื่องก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค แม้ว่าการแสดงของเขาจะลดความนิ่งลงไป...แต่เขาก็สามารถแสดงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจลึก ๆ และความรักได้เป็นอย่างดี" และยังเปรียบเทียบมาริโอ้ว่า "น่าจะเรียกได้ว่ามาริโอ้คืออำพลในรุ่นของเขา"[40] ณัฐพงษ์ โอฆะพนม จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก พูดถึงการรับบทเป็นสิงหาว่า "มาริโอ้ทำให้สิงหา เป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุดในหนังเรื่องนี้"[41] แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแตงกวาดอง ในสาขานักแสดงนำชายยอดแย่ จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้[42]

หลังสัมภาษณ์ภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก กับเอ็มทีวีไทยแลนด์

นิตยสารสตาร์พิกส์ว่า มาริโอ้จะร่วมเล่นแสดงกับอภิญญา สกุลเจริญสุข อีกในภาพยนตร์ของบัณฑิต ฤทธิถกล ในภาพยนตร์บุญชูภาคใหม่ ของค่ายไฟว์สตาร์[43] ในบท บุญโชค ลูกของบุญชู ซึ่งบัณฑิต ฤทธิถกล ได้ทาบทามมาริโอ้และได้แคสติ้งจนผ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยกเลิกและหานักแสดงหน้าใหม่แทน[44] มาริโอ้ตอบปฏิเสธรับบทลูกของบุญชู พร้อมแจงเหตุผลว่า คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทบาทตัวละครนี้ พร้อมทั้งกราบขอโทษทางผู้ใหญ่แล้วที่ไม่สามารถรับเล่นได้[45] และยังมีข่าวคราวว่าจะเป็นพระเอกในภาพยนตร์รักสามเส้า ให้กับโมโนฟิล์ม[46] เรื่อง รูมเมท กำกับโดย ปิติ จตุรภัทร์ ที่มีข่าวว่ามีเนื้อเรื่องแนวภาพยนตร์เรื่อง ทรีซัม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2537 กำกับโดย แอนดรู เฟลมมิง[47] รับบทเป็นเด็กวัยรุ่นเล่นดนตรีอย่างกีตาร์[48] แต่หลังจากถ่ายได้เพียง 10% ก็ถูกปลดออกเนื่องจากเรื่องคิวไม่ลงตัว และวิทวัส สิงห์ลำพอง มารับหน้าที่แสดงแทน[49]

มาริโอ้ยังได้ร่วมงานในโครงการ หนังรัก 4 เรื่อง 4 สไตล์ เรื่อง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ (หรือ 4 Romance) โดยได้ร่วมแสดงในการกำกับของราเชนทร์ ลิ้มตระกูล (เคยร่วมงานถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลง "กันและกัน") โดยแสดงในส่วนของโรแมนติกคอเมดี้ใน "จูบ"[50] บทบาทที่ได้รับ จากที่ผ่านมามีภาพลักษณ์แบบน่ารักสดใสขี้เล่น แต่ในเรื่องนี้จะดูโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง[51] ก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็ไปเรียนการแสดงกับหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลด้วย ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2552 มาริโอ้ได้รับการทาบทามให้แสดงในภาพยนตร์ บุปผาราตรี 3.1 กำกับโดย ยุทธเลิศ สิปปภาค[52] โดยรับบทเป็น หรั่ง วัยรุ่นคนหนึ่งที่สามารถมองเห็นผีได้ มีอาชีพเสริมเป็นนักวาดการ์ตูนผี เหตุผลที่ผู้กำกับเลือกมาริโอ้มาแสดงเรื่องนี้เพราะชอบลักษณะการแสดงแบบน้อย ๆ เล่นน้อย ๆ พูดน้อย ๆ ซึ่งตรงกับบทที่เขียนในตัวของหรั่งพอดี[53] และแสดงในภาพยนตร์ภาคต่อ บุปผาราตรี 3.2 ที่ออกฉายเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน[54]

มาริโอ้ เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัว จากนิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้ มาเป็นนายศุภชัย ศรีวิจิตร หรือ เอเอ ซึ่งมีเรื่องการฟ้องร้องจากอดีตผู้จัดการเกี่ยวกับเรื่องสัญญา[55] จากนั้นแสดงละครเรื่องแรกเรื่อง ใต้ฟ้าตะวันเดียว เป็นละครเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและเกาหลี[56]

ต่อมาแสดงภาพยนตร์ที่ร่วมงานระหว่างบริษัทลักส์ 666 กับสหมงคลฟิล์ม เรื่อง สาระแนสิบล้อ ร่วมกับอารยา เอ ฮาร์เก็ต ,วิลลี่ แมคอินทอช, นาคร ศิลาชัย และ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค[57] และนำแสดงในภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของพุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร แสดงร่วมกับพิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ในภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก[58] การแสดงของมาริโอ้ในเรื่องนี้ที่ในการแสดงก่อนหน้านั้น อาจแสดงแข็ง แต่เรื่องนี้อภินันท์ จากผู้จัดการออนไลน์มองว่า การออกเสียงหรือน้ำเสียงของเขาไม่ได้เป็นร้อยคำ ทำนองเดียวหรือโทนเดียว เหมือนเดิมแล้ว[59] มาริโอ้ยังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่อง เดอะด็อก กำกับโดยพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผลงานต่อมาคือ สาระแนเห็นผี ผลงานภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของการร่วมมือของลักษ์ฟิล์มและสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล แสดงคู่กับพัชราภา ไชยเชื้อ

ในปี พ.ศ. 2554 ร่วมงานในผลงานกำกับของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล อีกครั้ง (หลังจากรับบทตัวประกอบใน ชั่วฟ้าดินสลาย) ในภาพยนตร์เรื่อง อุโมงค์ผาเมือง เรื่องราวที่ดัดแปลงจาก ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ราโชมอน[60] ในเรื่องนี้รับบทเป็นพระ โดยผู้จัดการออนไลน์เขียนไว้ว่า เล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ[61] จากบทบาทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์ม อีกครั้งในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

มาริโอ้ เมาเร่อ ได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์เสื้อผ้าของฟิลิปปินส์ที่ชื่อ เพนช็อปป์ ต่อจาก เอ็ด เวสต์วิก นักแสดงชาวอังกฤษ ในการเดินทางไปฟิลิปปินส์เพื่อประชาสัมพันธ์แบรนด์เสื้อผ้า เมื่อวันที่ 28-30 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ยังมีงานมีตแอนด์กรีตที่มีแฟนกว่า 4000 คน ในฟิลิปปินส์อยู่ใต้การดูแลของบริษัทพีอาร์เอเชีย ซึ่งเขาได้เซ็นสัญญาเล่นหนังผลิตโดยบริษัท สตาร์ ซีนีมา แสดงคู่กับ อีริช กอนซาเลซ[62] ชื่อเรื่อง Suddenly It's Magic

ในปี พ.ศ. 2556 มาริโอ้มีผลงานแสดงภาพยนตร์กับจีเอ็มเอ็ม ไท หับ หรือจีทีเอช เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกุล ผู้มีชื่อเสียงจากผลงาน สี่แพร่ง ตอน คนกลาง, ห้าแพร่ง ตอน คนกอง และ กวน มึน โฮ ซึ่งมาริโอ้ได้รับบทเป็นพี่มากหรือพี่มาร์ค แสดงคู่กับดาวิกา โฮร์เน่ รับบทเป็นแม่นาก พร้อมด้วย ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์, พงศธร จงวิลาส, อัฒรุต คงราศรี และกันตพัฒน์ สีดา ซึ่งเคยร่วมแสดงใน สี่แพร่ง และ ห้าแพร่ง มาแล้ว ตัวละครพี่มาก บรรจงเลือกมาริโอ้เพราะเคยได้ร่วมงานโฆษณาด้วยกันมาก่อน และเห็นว่ามาริโอ้เล่นได้หลากหลาย และเห็นว่าคนส่วนใหญ่เมื่อคิดถึงพี่มาก จะนึกถึงผู้ชายหน้าไทย ๆ หากเป็นมาริโอ้ คงแปลกดี และเมื่ออยู่กับตัวละคร 4 คนข้างต้นคงสนุกดี [63]

ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายรอบสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556 ณ พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน และฉายรอบทั่วไปในตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2556 วันแรกทำรายได้ 21.20 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างรายได้เมื่อเปิดตัวในวันที่ไม่ใช่วันหยุดสูงเป็นอันดับสองรองจาก สุริโยไท นอกจากนี้ ยังสร้างรายได้ในวันจันทร์ที่ไม่ใช่วันหยุดสูงเป็นประวัติการณ์[64]

เมื่อสิ้นสัปดาห์แรก (สี่วันแรกหลังจากฉายรอบทั่วไป) ติดอันดับ 1 ของบอกซ์ออฟฟิสประเทศไทย[65] มีรายได้ 106.3 ล้านบาท[66] ในสัปดาห์ที่ 2 ของการเข้าฉาย ยังคงครองอันดับ 1 ของบอกซ์ออฟฟิสประเทศไทย[67] เมื่อจบปลายสุดสัปดาห์ที่ 2 (เข้าฉายได้ 11 วัน) ทำรายได้สะสม 261 ล้านบาท[68] พี่มาก..พระโขนง มีรายได้สะสมมากกว่า ATM เออรัก เออเร่อ (152.5 ล้านบาท) จึงนับเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของจีทีเอช และเป็นภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของประเทศไทย[69][70] ทำรายได้รวมทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาท[71]

แหล่งที่มา

WikiPedia: มาริโอ้_เมาเร่อ http://www.247freemag.com/content.php?id=255&conte... http://www.allmovie.com/work/%7B%7B%7Bid%7D%7D%7D http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-sty... http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-sty... http://www.bluewavefm88.com/Events_News.cgi?aid=19... http://www.boxofficemojo.com/intl/alltime/thailand... http://www.boxofficemojo.com/intl/thailand/?yr=201... http://www.boxofficemojo.com/intl/thailand/?yr=201... http://www.boxofficemojo.com/intl/thailand/yearly/ http://www.daradaily.com/news/11846/%E0%B8%A3%E0%B...