มาร์ดุก (
อักษรรูปลิ่ม: 𒀭𒀫𒌓 dAMAR.UTU;
ภาษาซูเมอร์: amar utu.k "บุตรแห่งพระอาทิตย์";
ภาษากรีก Μαρδοχαῖος,
[1] Mardochaios;
ภาษาฮีบรู: מְרֹדַךְ, marōḏaḵ) เป็นเทพ
เมโสโปเตเมียในยุคหลัง มาร์ดุกเป็นเทพประจำเมือง
บาบิโลน และเป็นเทพแห่งน้ำ พืชพันธุ์ การพิพากษา และเวทมนตร์ พระองค์เป็นโอรสของเทพอีอา (
เองกีในซูเมอร์)
[2] กับ
ดัมกัลนูนา[3] มีพระชายาคือ
ซาปาร์นิต และมีโอรสคือ
เนโบ เทพแห่ง
ปัญญาและ
การรู้หนังสือ มีอาวุธประจำกายคืออาวุธแห่งสายลมอิมฮุลลู และพาหนะเป็นมังกร
มุชคุชชู ในช่วงที่บาบิโลนปกครองโดย
พระเจ้าฮัมมูราบี มาร์ดุกมีความเกี่ยวข้องในทางโหราศาสตร์กับ
ดาวพฤหัสบดี[4]ที่มาของพระนามมาร์ดุกมาจาก amar-Utu ("บุตรผู้เป็นอมตะของอูตู" หรือ "บุตรเยาว์วัยของสุริยเทพอูตู")
[5] สะท้อนถึงที่มาหรือความเกี่ยวข้องกับเมือง
ซิปปาร์ซึ่งมีอูตูเป็นเทพประจำเมือง
[6] สถานภาพเดิมของมาร์ดุกยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ภายหลังพระองค์ถูกเชื่อมโยงเข้ากับน้ำ พืชพันธุ์ การพิพากษา และเวทมนตร์
[7] ตาม
เอนูมาเอลิช ตำนานการถือกำเนิดของ
บาบิโลเนียกล่าวว่า มาร์ดุกซึ่งเป็นเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทพรุ่นหลังได้ทำสงครามกับเทพยุคแรกเริ่ม
ติอามัตเป็นเวลา 12 วันจึงปราบติอามัตลงได้ จากนั้นมาร์ดุกทรงสร้างสวรรค์และโลกจากร่างติอามัต และปรึกษากับเทพอีอาก่อนจะสร้างมนุษย์คนแรกชื่อลัลลูจากชิ้นส่วนเทพที่สนับสนุนติอามัตเพื่อให้เป็นบริวาร
[8] ชาวบาบิโลเนียมีการเฉลิมฉลองชัยชนะของมาร์ดุกเหนือติอามัตในเทศกาล
แซกมัก หรือวันขึ้นปีใหม่ช่วงเดือนธันวาคมเป็นเวลา 12 วัน
[9] โดยกษัตริย์บาบิโลนจะเป็นตัวแทนมาร์ดุก ประกอบพิธี
เฮียรอสกามอสและต่อสู้ในการรบแบบจำลอง
[10]มาร์ดุกเป็นเทพประจำเมืองบาบิโลน เมื่อบาบิโลนกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจในหุบเขา
ยูเฟรตีสในรัชสมัยพระเจ้าฮัมมูราบีราวศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสตกาล มาร์ดุกค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นเทพสูงสุดของปวงเทพบาบิโลเนีย และแทนที่เทพ
เอนลิลในฐานะเทพสูงสุดอย่างสมบูรณ์หลังรัชสมัย
พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 1 ช่วงศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสตกาล
[11] ต่อมาในสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล มาร์ดุกได้รับการบูชาในพระนามเบล อันเป็นการผสานเทพมาร์ดุก เทพเอนลิล และเทพ
ดูมูซิด[12][13] มีการประดิษฐานรูปเคารพมาร์ดุกไว้ที่วิหารอีซากิลาและ
ซิกกุรัตอีเทเมนันกี
[14] ซึ่งภายหลัง
เฮโรโดตัสบันทึกว่าถูก
เซิร์กซีสที่ 1 แห่ง
จักรวรรดิอะคีเมนิดขนย้ายออกไปตอนพระองค์ปราบกบฏในบาบิโลนเมื่อ 482 ปีก่อนคริสตกาล
[15] หลังจากนั้นวิหารก็ถูกทิ้งร้างจนกลายเป็นซากปรักหักพังช่วงบาบิโลนตกอยู่ใต้อำนาจ
จักรวรรดิพาร์เธียราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล
[16]