ประวัติศาสตร์ ของ มิดเดิลเอิร์ธ

ประวัติศาสตร์ของโลกอาร์ดาตามที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน แบ่งออกได้เป็นสี่ยุคใหญ่ ๆ รู้จักกันในนาม ไอนูลินดาเล ยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และ ยุคแห่งตะวัน แต่ประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธเริ่มมีการบันทึกไว้ก็เมื่อหลังจากเหล่าเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนนในยุคที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างยุคแห่งพฤกษา หรือในบทประพันธ์จะเรียกว่าเป็น ยุคบรรพกาล ในระหว่างยุคที่หนึ่งนี้พวกมนุษย์ได้ตื่นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์แรกปรากฏขึ้นบนโลกอันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งตะวัน ซึ่งกินเวลาตลอดช่วงที่เหลือของยุคที่หนึ่ง และต่อเนื่องไปถึงยุคที่สอง ยุคที่สาม ยุคที่สี่ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ยุคสร้างโลก

ดูบทความหลักที่: ไอนูลินดาเล

เทพเจ้าสูงสุดแห่งเอกภพของโทลคีนเรียกว่า เอรู อิลูวาทาร์ ในตอนแรก อิลูวาทาร์ได้สร้างจิตวิญญาณที่มีชื่อว่า ไอนัวร์ และได้สอนวิญญาณเหล่านั้นให้สร้างบทเพลงขึ้น หลังจากที่ไอนัวร์ช่ำชองในความสามารถของแต่ละตนแล้ว อิลูวาทาร์ได้สั่งให้พวกไอนัวร์สร้างบทเพลงอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเพลงที่อิลูวาทาร์ประพันธ์ขึ้น ไอนัวร์ที่มีพลังสูงสุดคือ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ หรือ "ศัตรูมืด" โดยพวกเอลฟ์) ได้ทำให้เพลงเสียกระบวน อิลูวาทาร์จึงแก้ไขโดยสร้างแนวเพลงที่ปรับปรุงให้ดีเหนือความเข้าใจของไอนัวร์ ก้าวย่างแห่งบทเพลงของพวกเขาได้หว่านเมล็ดของประวัติศาสตร์แห่งเอกภพที่ยังไม่ได้สร้างและผู้ที่จะมาอยู่ ณ ที่นั้น

จากนั้นอิลูวาทาร์จึงหยุดเพลงและเปิดเผยความหมายของบทเพลงแก่ไอนัวร์ผ่านการมองเห็น ด้วยทัศนะเหล่านั้น ไอนูร์หลายตนสัมผัสถึงแรงกระตุ้นที่บีบบังคับให้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตรง อิลูวาทาร์จึงสร้าง เออา (Eä) คือเอกภพ และไอนัวร์บางองค์ก็ลงไปในเอกภพเพื่อร่วมในประสบการณ์แห่งเอกภพ แต่เมื่อเข้าไปในเออา เหล่าไอนัวร์พบว่ามันไร้รูปร่างเพราะพวกเขาเข้าไปที่จุดเริ่มต้นของเวลา ไอนัวร์จึงรับผิดชอบงานอันยิ่งใหญ่ในช่วง "ยุคแห่งดวงดาว" พวกเขาเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อรับการมาถึงของเอลฟ์และมนุษย์ ไอนัวร์พวกนี้มีชื่อเรียกว่า วาลาร์ ในจำนวนนี้ มานเว เป็นวาลาร์ผู้เป็นหัวหน้า แต่เมลคอร์เป็นผู้ทรงพลังที่สุด

อาร์ดาในตอนแรกเป็นโลกแบน ๆ เหล่าวาลาร์สร้างแสงสว่างโดยการสร้างดวงตะเกียงขนาดใหญ่สองดวง แต่เมลคอร์ทำลายดวงตะเกียงทำให้โลกมืดมน วาลาร์จึงย้ายถิ่นไปอยู่ทางตะวันตกสุดของอาร์ดา พวกเขาสร้างทวิพฤกษาขึ้นใหม่เพื่อให้แสงสว่างแก่แผ่นดินใหม่ของตน วาลาร์ขังเมลคอร์ไว้ และป้องกันแผ่นดินเพื่อเตรียมการสำหรับการตื่นของบุตรแห่งอิลูวาทาร์ แต่เมื่อเมลคอร์พ้นจากการจองจำ เขาก็ทำลายทวิพฤกา วาลาร์จึงได้นำผลที่ยังมีชีวิตสองผลสุดท้ายของต้นไม้ทั้งสองและใช้มันสร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาร์ดาแต่แยกตัวออกมาจากอัมบาร์ (โลก)

ยุคแห่งชวาลาเริ่มต้นไม่นานหลังจาก วาลาร์ เสร็จสิ้นงานในการวางรูปร่างอาร์ดา วาลาร์ได้สร้างตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก วาลาร์ อาวเล ได้สร้างหอคอยขนาดใหญ่ อันหนึ่งอยู่เหนือสุด อีกอันอยู่ใต้สุด และวาลาร์ได้อาศัยอยู่ตรงกลางบนเกาะแห่งอัลมาเรน การทำลายตะเกียงทั้งสองของเมลคอร์ถือเป็นจุดจบของยุคแห่งชวาลา

หลังจากนั้น ยาวันนา ได้สร้าง ทวิพฤกษา ชื่อว่า เทลเพริออน และ เลาเรลิน ในดินแดนแห่งอามัน เป็นกาลเริ่มต้นยุคแห่งพฤกษา ต้นไม้ทั้งสองส่องสว่างอามันและปล่อยให้ส่วนที่เหลือของอาร์ดาตกอยู่ในความมืด

ยุคที่หนึ่ง

ดูบทความหลักที่: ยุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดา

ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอลฟ์ได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอลฟ์จำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอลฟ์) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์และกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้าชายเอลฟ์ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย

เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา

ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอลฟ์ก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอลฟ์และมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก

ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่งโนกร็อด และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ ดิออร์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า ดิออร์ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่าดิออร์ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของดิออร์ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ เคเลกอร์ม, คูรูฟิน และ คารันเธียร์ ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา

ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอลฟ์และมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี

ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ มายดรอส และ มากลอร์ ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน มายดรอสโจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ

ยุคที่สอง

ดูบทความหลักที่: ยุคที่สองแห่งอาร์ดา

แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอลฟ์จำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอลฟ์ในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอลฟ์ช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอลฟ์ล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอลฟ์จึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้

กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ อาร์-ฟาราโซน มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวงอาร์-ฟาราโซน และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน แผ่นดินอมตะ อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดูร์ และ อนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอลฟ์ผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอลฟ์ร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย

ยุคที่สาม

ดูบทความหลักที่: ยุคที่สามแห่งอาร์ดา

ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง เมาท์ดูม โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น คณะพันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป

จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอลฟ์ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่มต้น เอลฟ์จำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป