ประวัติ ของ มี่นอองไลง์

มี่นอองไลง์สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยป้องกันป้องกันประเทศพม่า และจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ย่างกุ้ง จากนั้นศึกษาต่อที่ Defense Service Academy (วิทยาลัยกลาโหม) เข้ารับราชการในกองทัพบกเมื่อปี 2520 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารรัฐมอญ พ.ศ. 2545 เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารภาคสามเหลี่ยมในรัฐชาน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเจรจากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย 2 กลุ่ม คือ กองทัพแห่งรัฐว้าและกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยหรือกลุ่มหยุดยิงเมืองลา[3]

พ.ศ. 2552 มี่นอองไลง์ในยศพลโทเป็นผู้นำกำลังเข้าต่อต้านกลุ่มกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยโกก้าง ส่งผลให้ชาวโกก้างราว 3.7 หมื่นคนลี้ภัยเข้าไปในประเทศจีน[4]

พ.ศ. 2553 มี่นอองไลง์ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองยุทธการพิเศษที่ 2 หน่วยบัญชาการทหารภาครัฐชานและรัฐกะเหรี่ยง และเสนาธิการร่วมกองทัพพม่า ต่อมาในพ.ศ. 2554 เขาสืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดต่อจากพลเอกอาวุโสต้านชเว[5][6]

มี่นอองไลง์ถือเป็นนายทหารที่มีอิทธิพลในพม่า และเป็นผู้หนึ่งที่เคยประกาศต่อหน้ารัฐบาลว่า กองทัพจะยังคงมีบทบาทในทางการเมืองพม่าต่อไปเหมือนเช่นในอดีต[7] และย้ำว่า กองทัพมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องรัฐธรรมนูญ แต่ในส่วนลึกเขาก็ยังคงต้องฟังเสียงประธานาธิบดีเต้นเซน ประธานรัฐสภาพลเอก ชเวม่าน นายทหารสายเหยี่ยวที่คุมรัฐสภาอยู่ เพราะความใกล้ชิดอย่างมากกับต้านชเว ที่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองในสหภาพพม่า