เมนูนำทาง
ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศมีการเสนอว่า บทความนี้หรือส่วนนี้ควรแยกเป็นหลายหน้า (อภิปราย) |
ยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ หรือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Postcoital contraceptives หรือ Morning after pills)[12]
ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศเป็นยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนขนาดสูง ไม่ควรนำมาใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดตามปกติ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เพราะมีส่วนประกอบของฮอร์โมนขนาดสูง แต่จะใช้เฉพาะในกรณีของสตรีที่ถูกข่มขืน หรือกรณีการคุมกำเนิดล้มเหลว เนื่องจากการฉีกขาดของถุงยางอนามัยขณะมีการร่วมเพศ Regimen ของฮอร์โมนที่นำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดภายหลังมีเพศสัมพันธ์มีหลายรูปแบบได้แก่
ซึ่ง regimen นี้มีชื่อเรียกว่า Yuzpe regimen
การออกฤทธิ์
ยาคุมกำเนิดนี้ออกฤทธิ์โดยการทำให้มดลูกไม่เหมาะสมแกการฝังตัวของตัวอ่อน
อาการไม่พึงประสงค์
คือ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ พบได้ถึง 40 % ทำให้มักมีการให้ยาต้านการอาเจียน เข้าร่วมด้วย
การใช้ยาคุมชนิดเม็ดในกรณีต่างๆ
การใช้ยาคุมกำเนิดในหญิงตั้งครรภ์
ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดในสตรีที่ตั้งครรภ์ระยะ 3 เดือนแรก เพราะจะทำให้เด็กพิการหรือเป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศ และถ้าคุมกำเนิดล้มเหลวจะเพิ่มอัตราการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy) ได้มากกว่าการไม่ใช้ยา
การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังคลอด
การใช้ยาในสตรีให้นมบุตรไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม เพราะ ยาจะทำให้ปริมาณของน้ำนมลดลง ยาขับของทางน้ำนมได้บ้าง (แต่ยังไม่ทราบว่ามีผลอย่างไรต่อทารก) ดังนั้นควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อย (Minipills) และควรใช้วิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยในเดือนแรก (หรืออย่างน้อยใน 7 วันแรก) ที่เริ่มกลับมาใช้ยาใหม่
ถ้าไม่ได้ให้นมบุตร สามารถให้ได้ทันทีตามความต้องการไม่ว่าจะมีประจำเดือนมาหรือไม่
การใช้ยาในกรณีที่ต้องการผ่าตัดใหญ่
ควรหยุดกินยาเม็ดคุมกำเนิดก่อนการผ่าตัดใหญ่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ แล้วหลังผ่าตัดใหญ่ ควรรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงเริ่มกินยาเม็ดคุมกำเนิด
เมนูนำทาง
ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศใกล้เคียง
ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเน็ก รูเบ็ช ยาเน็ซ ยานชาแหล่งที่มา
WikiPedia: ยาเม็ดคุมกำเนิด http://www.cbsnews.com/stories/2004/08/20/health/m... http://monographs.iarc.fr/ENG/Monographs/vol91/mon... http://www.cdc.gov/nchs/data/ad/ad350.pdf //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/11988591 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15814774 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20223876 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/8656904 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2837145 //doi.org/10.1016%2FS0140-6736(96)90806-5 //doi.org/10.1136%2Fbmj.c927