ความตอนที่สอง ของ ยุขัน

พระเจ้าอุเรเซ็นทรงมีโอรสธิดากับนางวัลลุมาลีซึ่งดำรงตำแหน่งประไหมสุหรี พระธิดาองค์โตนามว่า "ประวะลิ่ม"ซึ่งงดงามราวกับนางอัปสรสวรรค์ และ พระโอรสองค์น้องนามว่า"อุราหงัน"ซึ่งมีความหล่อเหลางดงามไม่แพ้กัน

 
"โฉมยงองค์ประไหมสุหรีมีบุตรีแน่งน้อยเสนหา
ทรงโฉมประโลมละลานตานางในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน
ทรงนามประวะลิ่มวรลักษณ์ประไพพักตร์เพียงอัปสรสวรรค์
มีราชกุมารดังดวงจันทร์ทรงนามอุราหงันโสภา
พระแสนพิศวาสเป็นพ้นนักด้วยสองลูกรักเสนหา
เย็นเช้าขึ้นเฝ้าทุกเวลาองค์พระบิดาชนมาน"

จะกล่าวถึง ท้าววิเรนทรซึ่งบำเพ็ญฌานอยู่ที่เขาแก้วเจ็ดประการในป่าหิมพานต์ ด้วยอำนาจแห่งตบะเดชะนั้นจึงเป็นที่เกรงกลัวแก่บรรดา คนธรรพ์ ยักษ์ นาค ครุฑ เทพ และอมนุษย์ทั้งหลาย ต่างก็พากันมานอบน้อมและคอยอุปัฏฐากท้าววิเรนทรอยู่เป็นนิจ อยู่มาคราวหนึ่งเป็นฤดูกาลที่นารีผลในป่าหิมพานต์ออกลูก พวกเทพ คนธรรพ์ และอมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันยื้อแย่งเก็บนารีผลไปเชยชม มีวิทยาธรกลุ่มหนึ่งทำการแย่งชิงรบรากันจนสิ้นชีพ ดวงแก้ววิเศษประจำตัวลูกหนึ่งก็ร่วงหล่นลงสู่หน้าบรรณศาลาของท้าววิเรนทร ๆ ทราบในฌานว่า แก้วกายสิทธิ์ดวงนี้มีฤทธานุภาพมหาศาลควรจะเสี่ยงทายให้ผู้มีบุญมีคุณธรรมได้ครอบครอง จึงจารึกสรพพคุณของแก้วนั้นไว้บนยอดเขา แล้วเสกดวงแก้วนั้นให้เป็นนกชื่อว่านกหัสรังสีซึ่งมีสีเลื่อมพรายงดงามราวปักษาสวรรค์ จากนั้นท้าววิเรนทรก็สั่งให้นกนั้นบินไปยังทิศตะวันออก

นกหัสรังสีบินไปกลางมหาสมุทรจนพบกับเรือกำปั่นสินค้าของมะระงิดพ่อค้าชาววิลันดา (ฮอลันดา) จึงบินลงจับที่ท้ายเรือ มะระงิดเห็นความงามของนกจึงคิดจับไปถวายเป็นบรรณาการแก่พระเจ้าอุเรเซ็น นกก็ยินยอมให้จับแต่โดยดีพร้อมกับร้องออกมาเป็นชื่อของตนว่า "หัสรังสี" เมื่อพระเจ้าอุเรเซ้นทอดพระเนตรเห็นนกมีสีสันงดงามราวกับปักษาสวรรค์แถมยังกล่าวเจรจาได้ จึงตบรางวัลให้กับมะระงิดมากมาย แล้วให้ช่างทำกรงทองประดับพลอย ให้นางพี่เลี้ยงสันหยานำไปมอบเป็นของขวัญแก่นางประวะลิ่ม ซึ่งนางเองก็พอพระทัยนกหัสรังสีเป็นอันมาก

กล่าวถึงองค์ปะตาระกาหลาซึ่งเป็นเทวดาบนสวรรค์ เกิดร้อนอาสน์ จึงเล็งตาทิพย์ลงมาเห็นหางประวะลิ่มและยุขันเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกัน จึงคิดใช้นกหัสรังสีเป็นสื่อสัมพันธ์ ปะตาระกาหลาจึงได้ลงมาเขียนสารบรรยายคุณวิเศษของนกนั้นไว้ข้างแท่นบรรทมของท้าวอุรังยิดเจ้าเมืองอุรังยิด ซึ่งมีโอรสรูปงามสององค์ คือ ยุดาหวันองค์พี่ กับยุขันองค์น้อง ครั้นท้างอุรังยิดได้ทราบความในสารดังกล่าวทราบถึงคุณวิเศษของดวงแก้วกายสิทธิ์ที่อยู่ในศีรษะนกนั้น จึงมีความปรารถนาจะได้ไว้ครอบครอง ยุดาหวันและยุขันจึงรับอาสาที่จะไปนำนกหัสรังสีมาถวาย ก่อนออกเดินทางท้าวอุรังยิดได้ให้โหรหลวงทำนายได้ความว่า ทั้งสองพี่น้องจะประสบชัย อีกอีกสามปีจึงจะได้กลับมาบ้านเมือง ทั้งสองพี่น้องจึงเริ่มออกเดินทางไปในป่าจนพบกับเสาประโคนใหญ่ตั้งไว้ที่เชิงเขามีจารึกใจความว่า"พระพรหมได้สาปไว้ว่าผู้ใดมาถึงเสาประโคนนี้ หากมาเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มให้แยกเดินทางซ้ายขวาคนละทาง หากไปด้วยกันจะมีภัยถึงชีวิตทั้งคู่ หากแยกกันเดินก็จะได้พบกับพระมหาฤษ๊สั่งสอนวิชาให้ และจะเดินทางไปยังเมืองอุเรเซ็นอย่างปลอดภัย ทั่งสองพี่น้องได้อ่านสารจารึกดังกล่าวก็บังเกิดความเศร้าโศกรำพึงรำพันว่า

 
"ชะรอยกรรมจำพรากจากไกลขืนไปจะม้วยวายชนม์"

แล้วจึงแยกเดินจากกันด้วยความอาลัย ยุดาหวัน เดินทางรอนแรมจากน้องมาในป่าได้ ๗ เดือน ๗ วัน จนมาถึงเมืองจะรังหงูจึงได้พักหลับนอนอยู่ในบรรณศาลาหน้าเมือง ขณะนั้นภายในเมืองเกิดความวุ่นวาย เพราะพระเจ้าจะรังหงูสิ้นพระชนม์ ไม่มีโอรสสืบราชสมบัติต่อ มีเพียงพระธิดาผู้โสภานามว่านางกัญจะหนา ฝ่ายประไหมสุหรีเกรงว่าหากปล่อยว่างกษัตริย์ไว้นาน อาจถูกอริราชศัตรูฉวยโอกาสมาชิงเมืองได้จึงให้เสนาบดีทั้ง ๔ ประชุมเรียกโหราจารย์ทั้งหลายทำการเสี่ยงพิชัยราชรถ หาผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมือง แล้วทำการเสี่ยงไปราชรถก็ทำประทักษิณรองเมืองไปเกยแทบเท้าของยุดาหวันซึ่งนอนอยู่ในศาลา เสนาบดีจึงให้ประโคมดนตรีขึ้นจนยุดาหวันตื่นบรรทมแล้วจึงทูลเชิญให้เข้าพระนคร ยุดาหวันจึงได้เล่าความเป็นมาของตนให้องค๋ประไหมสุหรีฟังจึงทราบว่าเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เช่นกัน จึงให้ทำการอภิเษกองค์ยุดาหวันเครียงคู่กับนางกัญจะหนาให้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองจะรังหงูสืบไป

ฝ่ายยุขันหลังจากแยกทางกับพระเชษฐาแล้ว ก็รอนแรมมาในป่าจนกระทั่งพบกับอาศรมของพระรักขิตมหาฤๅษีตามที่ในจารึกบอกไว้ จึงเข้าไปกราบแล้วเล่าเรื่องราวของตนแล้วถามทางไปเมืองอุเรเซ็น พระฤๅษีทราบเรื่องก็เกิดความเมตตาจึงกล่าวว่า อันหนทางจะไปเมืองอุเรเซ้นนั้น เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย มีทั้งยักษ์มาร และแม่น้ำที่ลึกและกว้าง เมื่อเห็นว่าพลัดพรากจากพระเชษฐาจึงร่ายเวทย์ชุบคนขึ้นมาต่างหน้าพี่ชายไว้เป็นเพื่อนเดินทางแล้วตั้งชื่อให้ว่า เจ้าลิขิต ทั้งสองจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของฤๅษี ก่อนออกเดินทางพระฤๅษีจึงได้มอบพระขรรค์แก้วให้กับเจ้าลิขิต และมอบธนูกับศรวิเศษให้กับยุขัน แล้วทั้งสั่งสอนว่าทางข้างหน้าอันตรายให้อยู่ช่วยดูแลกันและกันอย่าประมาท จากนั้นก็จึงอวยพรและชี้ทางให้ ทั้งสองเดินทางเรื่อยมาจนล่วงเข้าเขตที่อยู่ของยักษ์มัตตะริมซึ่งอาศัยอยู่ปราสาททิพย์กลางป่า และมีอาวุธวิเศษคือกระบองแก้วสุริยกานต์อันมีฤทธิ์คือหากกวัดแก่วง ก็จะขอสิ่งที่อยากได้ตามใจนึก นอกจากนี้ยังมีอสูรทหารเอก ซึ่งคอยเผ้าหน้าด่านในป่าอยู่ถึงสามชั้นคือ อสุรปานัน, วายุกันยักษ์ และ นันทสูร อยู่มาวันหนึ่ง อสูรมัตตะริมนั้นเกิดเปล่าเปลี่ยวจิต คิดหาคู่ครองจึงควงอาวุธเหาะหาสาวงามจนล่วงไปถึงเมืองไอสุริยา