ประวัติศาสตร์ ของ ย่างกุ้ง

ประวัติศาสตร์ในช่วงต้น

ย่างกุ้งก่อตั้งขึ้นในชื่อ ดากอง (Dagon - ภาษามอญเรียกว่า "ตะเกิง") ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 (พ.ศ. 1571–1586) โดยชาวมอญซึ่งครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคใต้ของพม่าในขณะนั้น[9] ดากอนเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ซึ่งมีศูนย์กลางคือเจดีย์ชเวดากอง ใน พ.ศ. 2298 พระเจ้าอลองพญา ได้บุกยึดดากอง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น ย่างกุ้ง (Yangon) และมีการตั้งถิ่นฐานของราษฎรที่เพิ่มขึ้นตลอดมา เมื่อถึง พ.ศ. 2367 กองทัพอังกฤษสามารถยึดเมืองย่างกุ้งได้ในสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่หนึ่ง แต่หลังจากสงคราม อังกฤษก็คืนย่างกุ้งให้แก่พม่า ใน พ.ศ. 2384 เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในเมืองซึ่งทำลายเมืองไปเกือบทั้งหมด[10]

ย่างกุ้งในยุคอาณานิคม

แผนที่ย่างกุ้งและบริเวณโดยรอบ ค.ศ. 1911ทิวทัศน์ของสวนบริเวณค่ายทหาร (ปัจจุบันคือสวนสาธารณะกันดอมิงคลา) ในปี ค.ศ. 1868ความเสียหายของใจกลางเมืองย่างกุ้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

อังกฤษยึดย่างกุ้งและส่วนล่างของพม่าทั้งหมดได้ในระหว่างสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2395 และได้เปลี่ยนย่างกุ้งให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเมืองของพม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร (British Burma) ในปี พ.ศ. 2396 อังกฤษได้ย้ายเมืองหลวงของประเทศพม่าจากเมาะลำเลิง มายังย่างกุ้ง[11][12] ย่างกุ้งยังเป็นสถานที่ซึ่งอังกฤษส่งตัวจักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ที่ 2 จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุลของอินเดียมาจองจำหลังจากเกิดเหตุการณ์กบฎอินเดีย หรือกบฎซีปอยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2400 อังกฤษได้สร้างเมืองย่างกุ้งใหม่โดยวางผังเมืองเป็นรูปตารางบนที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ โดยมีร้อยโทอเล็กซานเดอร์ เฟรเซอร์ นายทหารช่างเป็นผู้ควบคุมการออกแบบ มีพื้นที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออกจรดแม่น้ำพะซุนดวง (Pazundaung Creek) ทางตะวันตกและทางใต้จรดแม่น้ำย่างกุ้ง ย่างกุ้งกลายเป็นเมืองหลวงพม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรหลังจากที่อังกฤษยึดพม่าตอนบนได้ในสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สาม เมื่อปี พ.ศ. 2428 และตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1890 เป็นต้นมา ประชากรและการค้าในย่างกุ้งเติบโตขึ้นอย่างรุ่งเรืองซึ่งเป็นผลให้เมืองขยายออกไปทางเหนือจรดรอยัลเลกหรือทะเลสาบกันดอจี (Kandawgyi) และทะเลสาบอินยา (Inya Lake)[13] นอกจากนี้อังกฤษยังได้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรงพยาบาลย่างกุ้ง (Rangoon General Hospital) และวิทยาลัย ซึ่งก็คือ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง (Rangoon University) ในปัจจุบัน

ย่างกุ้งในยุคอาณานิคม มีสวนสาธารณะและทะเลสาบที่กว้างขวาง อีกทั้งยังประกอบไปด้วยอาคารที่ทันสมัยและสถาปัตยกรรมไม้แบบดั้งเดิม ทำให้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "สวนเมืองแห่งทิศตะวันออก" (the garden city of the East)[13] และในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ย่างกุ้งก็มีการบริการสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานที่เทียบเท่าลอนดอนเลยทีเดียว[14]

ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ประมาณร้อยละ 55 ของประชากรในย่างกุ้งจำนวน 500,000 คน เป็นชาวอินเดียหรือไม่ก็ชาวเอเชียใต้ มีเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่เป็นชาวพม่า[15] ขณะที่เหลือประกอบไปด้วยชาวกะเหรี่ยง พม่าเชื้อสายจีน และลูกครึ่งอังกฤษ-พม่า

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งย่างกุ้งกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชโดยมีนักศึกษาฝ่ายซ้ายเป็นแกนนำ มีการประท้วงต่อจักรวรรดิอังกฤษทั้งหมด 3 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2463, 2479 และ 2481 ทั้งหมดเกิดขึ้นในย่างกุ้ง ย่างกุ้งตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2485-2488) และได้รับความเสียหายอย่างมากจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยึดคืนมาได้หลังสงครามสิ้นสุดลงโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 ย่างกุ้งกลายเป็นเมืองหลวงของสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 เมื่อประเทศได้รับเอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษ

ย่างกุ้งในสมัยปัจจุบัน

ไม่นานหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2491 ชื่อถนนและสวนสาธารณะหลายแห่งที่เป็นแบบอาณานิคมถูกเปลี่ยนให้มีความเป็นชาตินิยมพม่ามากขึ้น ในปี พ.ศ. 2532 รัฐบาลทหารพม่าได้เปลี่ยนชื่อเมืองในภาษาอังกฤษเป็น Yangon (เดิม Rangoon) พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีกมากมายในการทับศัพท์ภาษาอังกฤษโดยชื่อพม่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวพม่าจำนวนมากซึ่งคิดว่ารัฐบาลทหารไม่มีความเหมาะสมที่จะทำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่นเดียวกับสื่อสิ่งพิมพ์ สำนักข่าวหลายสำนัก รวมไปถึงสื่อที่มีชื่อเสียงอย่าง บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ (สำนักข่าวบีบีซี) สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและชาติอื่น ๆ[16][17]

นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ย่างกุ้งมีการขยายตัวออกไปมาก รัฐบาลได้สร้างเมืองขึ้นมาโดยรอบ เช่นในคริสต์ทศวรรษที่ 1950 สร้างย่านธาเกตา (Thaketa) ออกกะลาปาเหนือ (North Okkalapa) ออกกะลาปาใต้ (South Okkalapa) จนถึงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เกิดย่านไลง์ตายา (Hlaingthaya) ชเวปยีธา (Shwepyitha) และดากอนใต้ (South Dagon)[10] ทำให้ทุกวันนี้มหานครย่างกุ้งมีพื้นที่เกือบ 600 ตารางกิโลเมตร (230 ตารางไมล์)[1]

ในช่วงการปกครองแบบลัทธิโดดเดี่ยวโดยนายพลเนวี่น (พ.ศ. 2505–2531) โครงสร้างพื้นฐานของย่างกุ้งเสื่อมโทรมมากเนื่องจากไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดีและไม่รองรับกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 รัฐบาลทหารมีนโยบายเปิดตลาดมากขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศซึ่งช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองมีความทันสมัยขึ้นตามสมควร ผู้อยู่อาศัยในเมืองชั้นในถูกขับให้ไปอยู่ยังบริเวณรอบนอกเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ อาคารหลายแห่งในยุคอาณานิคมถูกทำลายเพื่อเปิดทางให้กับโรงแรมสูงระฟ้า อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้า[18] ทำให้สภาเมืองต้องเขียนรายชื่อสิ่งปลูกสร้างยุคอาณานิคมที่โดดเด่นกว่า 200 รายการภายใต้รายการมรดกเมืองย่างกุ้งในปี พ.ศ. 2539[19] โครงการก่อสร้างที่สำคัญส่งผลให้มีสะพานใหม่หกแห่งและทางหลวงสายใหม่อีกห้าเส้นทางเชื่อมโยงเมืองไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมด้านนอก[20][21][22] ถึงกระนั้นก็ตาม พื้นที่ย่างกุ้งส่วนใหญ่ยังคงไม่มีบริการเทศบาลขั้นพื้นฐานเช่นไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมงและการเก็บขยะตามปกติ

ย่างกุ้งกลายเป็นของชาวพม่าพื้นเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่การประกาศเอกราช หลังจากการประกาศเอกราชชาวเอเชียใต้และลูกครึ่งอังกฤษ-พม่าจำนวนมากได้ย้ายออกไป ชาวเอเชียใต้หลายคนถูกบังคับให้ย้ายออกไปในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยรัฐบาลที่ต่อต้านชาวต่างชาติของเนวิน[15] อย่างไรก็ตามชุมชนชาวเอเชียใต้และชาวจีนที่กว้างใหญ่ยังคงมีอยู่ในย่างกุ้ง ส่วนลูกครึ่งอังกฤษ-พม่าหายไปอย่างเห็นชัดมากกว่าโดยย้ายออกจากประเทศหรือไม่ก็แต่งงานกับชาวพม่ากลุ่มอื่น ๆ

ย่างกุ้งเป็นศูนย์กลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2517, 2531 และ 2550 การลุกฮือของพลังประชาชนใน พ.ศ. 2531 ส่งผลให้มีการเสียชีวิตของพลเรือนชาวพม่าหลายร้อยคน และมากมายในย่างกุ้งที่ซึ่งประชาชนหลายร้อยคนหลั่งไหลกันออกมาเต็มถนนในเมืองหลวง การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ประสบกับการกราดยิงใส่ฝูงชนและการเผาศพในย่างกุ้งโดยรัฐบาลพม่าเพื่อลบหลักฐานการก่ออาชญากรรมต่อพระสงฆ์ ผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ นักข่าวและนักศึกษา[23]

ถนนในเมืองประสบกับการนองเลือดทุกครั้งขณะที่ผู้ประท้วงถูกยิงโดยรัฐบาล

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 รัฐบาลทหารกำหนดให้กรุงเนปีดอซึ่งอยู่ห่างจากย่างกุ้งไปทางเหนือราว 320 กิโลเมตร (199 ไมล์) เป็นเมืองหลวงทางปกครองแห่งใหม่และต่อมาย้ายที่ทำการรัฐบาลจำนวนมากไปยังเมืองที่ถูกพัฒนาใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ย่างกุ้งยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดของพม่า

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 พายุไซโคลนนาร์กีสถล่มย่างกุ้ง ในขณะที่เมืองมีผู้เสียชีวิตเพียงเล็กน้อย แต่โครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมของย่างกุ้งถูกทำลายหรือเสียหายถึงประมาณสามในสี่ ความสูญเสียประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[24]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ย่างกุ้ง http://www.fmprc.gov.cn/ce/cemm/eng/zt/zmjjqd/jmgx... http://www.bookrags.com/Yangon http://www.mmtimes.com/no427/b004.htm http://www.myanmar.com/myanmartimes/MyanmarTimes17... http://www.thehindu.com/todays-paper/tp-in-school/... http://www.dmi.dk/dmi/tr01-17.pdf http://www.state.gov/r/pa/ei/bgn/35910.htm http://met-xpprod.customer.enonic.io/publikasjoner... http://www.uncrd.or.jp/env/3rd-regional-est-forum/... http://www.myanmar.gov.mm/Perspective/persp2001/2-...