รัฐบัญญัติการโยกย้ายอินเดียน ค.ศ. 1830 (
อังกฤษ: Indian Removal Act) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า
การโยกย้ายถิ่นฐานของชาวอเมริกันอินเดียน (Indian removal) ที่ประธานาธิบดี
แอนดรูว์ แจ็กสันลงนามและประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1830
[1]รัฐบัญญัติได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จากรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ที่พยายามจะขยายตัวเข้าไปในดินแดนที่เป็นของ “
ชนเผ่าผู้มีวัฒนธรรมทั้งห้า” โดยเฉพาะ
รัฐจอร์เจียซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐในขณะนั้นผู้มีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับชาติ
เชอโรคี ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็คสันหวังว่าการผ่านรัฐบัญญัติจะเป็นการผ่อนคลายวิกฤติการณ์ในจอร์เจีย รัฐบัญญัติฉบับนี้สร้างความขัดแย้งมาก ขณะที่การโยกย้ายตามทฤษฎีแล้วเกิดขึ้นโดยความสมัครใจ แต่ตามความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นจากความกดดันที่รัฐบาลสหรัฐกระทำต่อผู้นำงชาติอินเดียนต่าง ๆ ให้ยอมลงนามในสนธิสัญญาตกลงโยกย้ายโดยที่อเมริกันอินเดียนเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่าง ๆผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับการโยกย้ายของชาวอเมริกันอินเดียนหรือไม่ก็ตามต่างก็ทราบดีว่าเนื้อหาของรัฐบัญญัติก็คือการพยายามโยกย้ายชาวอเมริกันอินเดียนเกือบทั้งหมดออกจากรัฐต่าง ๆ ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ผู้นำชาวอเมริกันอินเดียนบางเผ่าที่เดิมเคยต่อต้านการโยกย้ายต่างก็เริ่มพิจารณาถึงสถานภาพของตนเอง โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็คสันได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้นในปี ค.ศ. 1832ชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรปส่วนใหญ่เห็นพ้องกับรัฐบัญญัติว่าด้วยการโยกย้าย แต่ก็มีผู้คัดค้านกันพอสมควร นักสอนศาสนาคริสเตียนโดยเฉพาะ
เจเรอไมห์ เอฟเวิตส์ (Jeremiah Evarts) ประท้วงต่อต้านรัฐบัญญัติในรัฐสภา
ทีโอดอร์ เฟรลิงฮูสเซน สมาชิกวุฒิสภาจาก
นิวเจอร์ซีย์ และ
เดวิด คร็อกเก็ตต์ สมาชิกรัฐสภาจาก
เทนเนสซีต่างก็กล่าวต่อต้านรัฐบัญญัติ แต่รัฐบัญญัติก็ได้รับการอนุมัติหลังจากการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงในรัฐสภา
[2]รัฐบัญญัติปูทางให้รัฐบาลบังคับโยกย้าย
ชนพื้นเมืองอเมริกันจำนวนหมื่นไปทางตะวันตกของประเทศ สนธิสัญญาการโยกย้ายฉบับแรกหลังจากการอนุมัติรัฐบัญญัติคือ
สนธิสัญญาลำธารแดนซิงแรบบิต (Treaty of Dancing Rabbit Creek) ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1830 ที่
ช็อกทอว์ใน
มิสซิสซิปปี โดยเสียดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำแลกเปลี่ยนกับดินแดนทางตะวันตก หลังจากที่เดินทางกันด้วยความยากลำบากไปถึงดินแดนใหม่ หัวหน้าของช็อกทอว์ก็กล่าวต่อผู้สัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์อาร์คันซอกาเซ็ตต์ว่าการโยกย้ายเป็น “เส้นทางแห่งน้ำตาและความตาย” (trail of tears and death)
[3][4] สนธิสัญญานิวอีโคตา (ลงนาม ค.ศ. 1835) เป็นผลให้
เชอโรคีต้องทำการเดินทางบน
เส้นทางธารน้ำตา ส่วน
เซมิโนเลต่อต้านการโยกย้ายและชนบางเผ่าที่รวมทั้งทาสที่หนีมา ซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามเซมิโนเลครั้งที่สองระหว่างปี ค.ศ. 1835 ถึงปี ค.ศ. 1842 ที่ทำให้เซมิโนเลถูกบังคับให้โยกย้ายและเหลืออยู่เพียงจำนวนไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ ราว 3,000 คนเสียชีวิตไปในการต่อสู้กับทหารอเมริกัน
[5]ในปี ค.ศ. 1823
ศาลสูงสุดสหรัฐ (Supreme Court of the United States) ตัดสิน
คดีระหว่างจอห์นสันกับมินทอช” (Johnson v. M'Intosh) ว่าอินเดียนสามารถอยู่ในดินแดนในสหรัฐได้ แต่ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินที่อาศัยอยู่ ฉะนั้น จึงไม่มีสิทธิขายที่ดินโดยตรงให้แก่พลเมืองอเมริกัน
[6]