รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2514 เป็น
รัฐประหารตนเองรัฐประหารในครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลา 19.00 น. ของวันที่
17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514[1] สาเหตุสืบเนื่องจากการที่สมาชิก
พรรคสหประชาไทยของจอมพล
ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีที่มาจาก
การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 นำโดย นาย
ญวง เอี่ยมศิลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ตามที่จอมพลถนอมได้เคยสัญญาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อไม่ได้รับการตอบแทนดังที่สัญญาไว้ ส.ส.เหล่านี้ได้ต่างพากันเรียกร้องต่าง ๆ นานา บ้างก็ขู่ว่าจะลาออก นอกจากนี้ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของ พลเอก
กฤษณ์ สีวะรา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงกลาโหม ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอมได้บันทึกไว้ว่า รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2515 ผ่าน
สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือนกรกฎาคม 2514 ซึ่งทางสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติรับหลักการในวาระที่ 1 เรียบร้อยแล้วแต่เพราะ ส.ส. บางส่วนต้องการเพิ่มเงินงบประมาณในส่วนเงินบำรุงท้องที่เป็นเงิน 448 ล้านบาททั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณไว้เพียง 224 ล้านบาทอาจทำให้โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลต้องสะดุดและหยุดชะงักลงทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลและ ส.ส. บางส่วน ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ จอมพลถนอม
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ,
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าพรรคสหประชาไทยและนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับฉายาสมัยนั้นว่า "นายกฯคนซื่อ" ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงยึดอำนาจตนเอง โดยไม่มีชื่อเรียกคณะรัฐประหารในครั้งนี้โดยเฉพาะเหมือนรัฐประหารที่ผ่านมา แต่เรียกตัวเองเพียงแค่ว่า
คณะปฏิวัติ[2]โดยมีคำปรารภในการยึดอำนาจตัวเองครั้งนี้ว่าภัยที่คุกคามประเทศและราชบัลลังก์ สถานการณ์ภายใน ความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ การนัดหยุดงานของกรรมกร การเดินขบวนของนักศึกษา การแก้ไขสถานการณ์ถ้าจะดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญย่อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้การยึดอำนาจการปกครองเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉียบขาดและฉับพลันจากนั้นประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 3 ได้ยกเลิก
รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2511 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้น และยกเลิก
รัฐสภา ยกเลิก
พรรคการเมืองและประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 เวลา 20.11น.
[3] และห้ามมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
[4]คณะปฏิวัติครองอำนาจจนวันที่
15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงประกาศใช้
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้และตั้ง
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติให้จอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับนี้มีการนำเอารัฐธรรมนูญมาตรา 17 กลับมาใช้อีกครั้งเหมือนยุคของจอมพล
สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเต็มที่ในการสั่งการใด ๆ อันเนื่องจากเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หรือ มีกฎหมายฉบับใด ๆ มารองรับจอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความไม่พอใจของนิสิต นักศึกษาและประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างถาวรมาตั้งแต่
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2501 (สมัยจอมพลสฤษดิ์) แล้ว ซึ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ที่ถูกยกเลิกไปในการปฏิวัติครั้งนี้ก็ต้องใช้เวลาร่างนานถึง 10 ปี ประกอบกับเหตุการทุจริตต่าง ๆ ในรัฐบาล ก็กลายเป็นสาเหตุให้เกิด
เหตุการณ์ 14 ตุลา ในอีก 2 ปี ต่อมาซึ่งหลังจากการปฏิวัติไม่นาน นาย
อุทัย พิมพ์ใจชน ส.ส.จังหวัดชลบุรี ของ
พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย
ส.ส.จังหวัดชัยภูมิ พรรคเดียวกัน คือ นาย
บุญเกิด หิรัญคำ และนาย
อนันต์ ภักดิ์ประไพ ส.ส.จังหวัดพิษณุโลก ไม่สังกัดพรรค ได้ยื่นฟ้องต่อ
ศาลอาญาให้ดำเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหา
กบฏต่อแผ่นดิน ถือเป็นท้าทายอำนาจของผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา แต่แล้วศาลได้ตีความ และทำให้ทั้งสามคนตกเป็นจำเลย และสั่งให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งทั้งหมดได้ถูกปล่อยตัวหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ในสมัยรัฐบาลที่มีนาย
สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
[5][6]