วาฬหัวทุย[3] หรือ
วาฬสเปิร์ม (
อังกฤษ: sperm whale;
[2] ชื่อวิทยาศาสตร์: Physeter macrocephalus) เป็น
วาฬขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็น
วาฬมีฟัน (Odontoceti) ชนิดที่ใหญ่ที่สุดวาฬหัวทุยมีลักษณะเด่นคือ มีส่วนหัวใหญ่และยาวมากเกือบร้อยละ 40 ของลำตัว ลำตัวสีเทาดำผิวหนังเป็นรอยย่นตลอดลำตัว ส่วนหน้าผากตั้งฉากตรงขึ้นจากปลายปากบน และเป็นแนวหักลาดไปทางส่วนหลัง ท่อหายใจรูเดียว อยู่ส่วนบนเยื้องไปด้านซ้ายของหัวครีบหลัง มีลักษณะเป็นสันนูนขึ้นมาตั้งอยู่ค่อนไปทางท้ายลำตัว และมีสันเป็นลอน ๆ ไปจนเกือบถึงโคนหาง ครีบข้างค่อนข้างเล็กปลายมนเหมือนใบพาย ไม่มีครีบหลัง ขากรรไกรล่างแคบยาวและเล็กมากเมื่อเทียบกับส่วนหัว ฟันเป็นเขี้ยวจำนวน 16–30 คู่ บนขากรรไกรล่าง ขากรรไกรบนไม่มีฟัน แต่จะมีช่องสำหรับรองรับฟันล่างเวลาหุบปากเท่านั้น อย่างไรก็ตามอาจพบฟัน 10–16 คู่ ในกระดูกขากรรไกรบนของวาฬที่มีอายุมาก ๆ
[4] นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบ ๆ ปากจะเป็นสีขาว ซึ่งเชื่อกันว่าในที่ ๆ น้ำลึกสีขาวนี้จะเรืองแสงในความมืด ใช้เป็นเครื่องล่อเหยื่อต่าง ๆ ของวาฬหัวทุย
[5]วาฬหัวทุยตัวผู้มีขนาดโตเต็มวัยยาวประมาณ 15–18 เมตร วาฬหัวทุยตัวเมียจะยาวประมาณ 12–14 เมตร ส่วนลูกแรกเกิดยาว 3.5–4.5 เมตร แม่วาฬใช้เวลา
ตั้งท้องนาน 16–17 เดือน ลูกจะอาศัยอยู่กับแม่เป็นเวลาประมาณ 13 เดือนเศษ ๆ จึงแยกออกหากินอิสระ มีน้ำหนักประมาณ 28 ตัน
[4]วาฬหัวทุยเป็นวาฬที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง และเป็นวาฬชนิดที่ดำน้ำได้ลึกที่สุด มีรายงานว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 1,000 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีรายงานจากการติดตามวาฬที่ติดเครื่องหมายด้วยระบบโซนาร์ พบว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 2,800–3,000 เมตร โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง
[4]จากการสูดหายใจเพียงครั้งเดียวที่ผิวน้ำที่มีแรงกดดันเท่ากับที่มนุษย์หายใจ ซึ่งในระดับความลึกกว่า 1,000 เมตร แรงกดของอากาศมากกว่าที่ผิวน้ำ 100 เท่า บีบอัดปอดของวาฬให้เหลือเพียงร้อยละ 1 ของปริมาตรทั้งหมด
[6] แต่ขณะที่ยังเป็นวาฬวัยอ่อนอยู่จะยังไม่สามารถดำน้ำลึกได้เหมือนตัวที่โตเต็มวัย
[5]นอกจากนี้ วาฬหัวทุยยังเป็นวาฬชนิดที่ชอบกิน
หมึกเป็นอาหารมากที่สุด
[7] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความยาวได้ถึง 14 เมตร ในระดับความลึกระดับ 1,000 เมตร หรือ
หมึกกล้วยยักษ์ (Architeuthis dux) ที่มีขนาดรองลงมา โดยอาจยาวได้ถึง 12 เมตร
[5] โดยมีการพบซากจะงอยปากของหมึกในกระเพาะของวาฬหัวทุย วาฬบางตัวจะมีผิวหนังที่เป็นรอยแผลจากปุ่มดูดของหนวดหมึกปรากฏอยู่
[8]วาฬหัวทุยเป็นวาฬที่พบได้ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก ใน
น่านน้ำไทยพบรายงานเพียง 3 จังหวัด คือ
พังงา,
ภูเก็ต และ
สตูล และถูกจัดเป็น
สัตว์ป่าคุ้มครองตาม
กฎหมาย[4] [9]วาฬหัวทุยนับเป็นวาฬอีกชนิดหนึ่งที่ถูกล่าจากมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยการนำเขี้ยวและฟันมาเป็นทำ
เครื่องประดับ ไขมันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื้อสำหรับรับประทาน นอกจากนี้แล้ว
อาเจียนหรือ
มูลของวาฬหัวทุยยังมีลักษณะแข็งเหมือน
อำพัน และมีกลิ่นหอมเป็นลักษณะพิเศษ เป็นของหายาก ราคาแพง ใช้เป็นส่วนสำคัญในการผลิตหัวน้ำหอมและยาไทยได้ด้วย เรียกว่า "
อำพันขี้ปลา" หรือ "ขี้ปลาวาฬ"
[7] และที่ส่วนหัวยังมีสารพิเศษคล้าย
ไขมันหรือ
ขี้ผึ้ง เรียกว่า "
ไขปลาวาฬ" ซึ่งใช้ในการผลิตโลชันและเวชภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ อันเป็นที่มาของ
ชื่อสามัญ[10][11] วาฬหัวทุยได้รับการอ้างอิงถึงใน
วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ "
โมบิดิก" ของ
เฮอร์มัน เมลวิลล์ ใน ค.ศ. 1855 ที่เป็นเรื่องราวของการล่าวาฬหัวทุย
เผือกตัวหนึ่งที่มีนิสัยดุร้าย ชื่อ โมบิดิก หรือใน
วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "
พินอคคิโอ" ที่ตอนท้ายเรื่องพินอคคิโอผจญภัยเข้าไปอยู่ในท้องของวาฬ ซึ่งก็คือ วาฬหัวทุย เป็นต้น
[8]ในปัจจุบัน มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า วาฬหัวทุยรวมถึงวาฬชนิดอื่น ๆ มีขนาดลำตัวที่เล็กลงจากอดีต บ่งบอกว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะวาฬหัวทุยนั้นใน ค.ศ. 1985 ขนาดเล็กกว่าเดิมที่เคยวัดไว้เมื่อ ค.ศ. 1905 ประมาณ 4 เมตร
[12]