วาฬเบลูกา
วาฬเบลูกา

วาฬเบลูกา

ชนิด:วาฬเบลูกา หรือ วาฬขาว (อังกฤษ: Beluga whale, White whale; ชื่อวิทยาศาสตร์: Delphinapterus leucas) เป็นวาฬที่จัดอยู่ในวงศ์ Monodontidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับนาร์วาฬ และนับเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Delphinapterus โดยถือเป็น 2 ชนิดเท่านั้นในวงศ์นี้ที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน[4]จัดอยู่ในประเภทวาฬมีฟัน กินสัตว์น้ำเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, หอยและปลา เป็นต้น ตัวผู้จะมีความยาวลำตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเมีย โดยตัวผู้ตัวเต็มวัยจะมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 3.5–5.5 เมตร ส่วนตัวเมียมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 3–4.1 เมตร น้ำหนักกว่า 1 ตัน สำหรับลูกวาฬแรกเกิดจะมีสีเทา และสีเทาจะค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาวในตัวเต็มวัย[5] และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี สูงสุดถึง 70 ปี[6] พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งทะเลและมหาสมุทรของซีกโลกทางเหนือ เช่น มหาสมุทรอาร์กติก, ทวีปอเมริกาเหนือ, อ่าวฮัดสัน, เกาะกรีนแลนด์, รัสเซีย, ทะเลสาบอิลลิมนา[7] และปากแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ในแคนาดา อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถว่ายน้ำเดินทางไปในใต้น้ำที่ดำมืดได้ โดยใช้ระบบโซนาร์ในการนำทาง ที่ผลิตมาจากก้อนไขมันบนส่วนหัว[6] และกลั้นหายใจได้นานถึง 20 นาที ตัวผู้สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 500 เมตร เพื่อหาอาหาร ขณะที่ตัวเมียและลูกวาฬที่มีขนาดเล็กกว่าดำได้ลึกเพียง 350 เมตร [8]วาฬเบลูกาไม่มีครีบหลัง เพื่อลดการสูญเสียความร้อนและปรับตัวให้สามารถว่ายน้ำภายใต้แผ่นน้ำแข็ง[9]และมีจุดเด่น คือ มีสีขาวปลอดตลอดทั้งลำตัวเพื่อพรางตัวจากผู้ล่า นั้นคือ หมีขั้วโลก และวาฬเพชฌฆาต[9] โดยคำว่า "เบลูกา" มาจากภาษารัสเซียคำว่า белый (bélyj) หมายถึง "สีขาว" ขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ Delphinapterus หมายถึง "โลมาที่ไม่มีครีบ" (มาจากภาษากรีกคำว่า δελφίν (เดลฟิน) แปลว่า "โลมา" และ απτερος (แอปเทอรอส) แปลว่า "ปราศจากครีบ") และ leucas หมายถึง "สีขาว" (ภาษากรีกคำว่า λευκας (ลูคัส) แปลว่า "สีขาว")[10]วาฬเบลูกามีชั้นไขมันที่หนาประมาณ 15 เซนติเมตร ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ซึ่งชั้นไขมันจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความเย็นของน้ำในช่วงอุณหภูมิ 0–18 องศาเซลเซียส เพื่อลดการสูญเสียความร้อนจากอุณหภูมิที่เย็น และเป็นแหล่งสะสมพลังงานสำรอง[9] โดยนับเป็นชั้นไขมันที่หนาถึง 100 เท่าของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด[6] นอกจากนี้ วาฬเบลูกายังมีพฤติกรรมชอบที่จะขัดผิวหนังเก่าที่มีปรสิตหรือบาดแผลออกในช่วงที่น้ำแข็งละลายในฤดูร้อน ด้วยการขัดถูตัวกับก้อนกรวดที่ชายฝั่งน้ำตื้นหรือตามปากแม่น้ำ ด้วยการรวมฝูงนับ 1,000 ตัว ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกวาฬวัยอ่อน ซึ่งใช้เวลานานหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ และจากพฤติกรรมนี้ทำให้บางตัวเกยฝั่งตาย หลังจากขัดผิวหนังออกแล้วก็จะกลับไปหากินในทะเลต่อ[8]วาฬเบลูกา เป็นวาฬอีกชนิดหนึ่งที่ส่งเสียงร้องได้หลากหลายมาก จนได้ฉายาว่า "นกคานารีแห่งท้องทะเล" (Sea canary) ที่มีตั้งแต่เสียงผิวปาก มีระดับเสียงที่แตกต่างกันมากมาย โดยจากการสังเกตในสถานที่เลี้ยงพบว่า ลูกวาฬมีพฤติกรรมเลียนแบบเสียงแม่วาฬด้วย และเลียนแบบได้สมบูรณ์สุด อีกทั้งถือเป็นวาฬอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงและฝึกให้แสดงโชว์ตามสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ โดยมีการแพร่ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ [6] จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติรัสเซียในปี ค.ศ. 2017 พบว่า วาฬเบลูกาในสถานที่เลี้ยงที่เลี้ยงร่วมกับโลมาปากขวดเป็นเวลา 2 เดือน วาฬเบลูกามีพฤติกรรมที่จะเลียนแบบเสียงเรียกของโลมาด้วย ในขณะที่โลมาก็เลียนเสียงร้องของวาฬด้วย ซึ่งเป็นเสียงเรียกแบบสั้น ๆ ทั้งนี่เชื่อว่าคงเป็นเพราะวาฬเบลูกาพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลมา นอกจากนี้แล้วในปี ค.ศ. 2012 มีผู้ที่จับวาฬเบลูกาได้ และพบว่าวาฬมีพฤติกรรมที่จะเลียนเสียงการพูดคุยแบบมนุษย์ด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าคงเป็นเพราะวาฬพยายามที่จะสื่อสารกับมนุษย์ [11]ประชากรของวาฬเบลูกาที่อาศัยอยู่ในปากแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ซึ่งเป็นน้ำกร่อย มีประมาณ 2,000 ตัว โดยวาฬเบลูกาที่นี่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างจากวาฬเบลูกาที่อื่น เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่แยกตัวออกจากวาฬเบลูกาที่อื่นเป็นเวลานานกว่า 7,000 ปีแล้ว และไม่หวนคืนกลับไปยังมหาสมุทรเลยในยุคทศวรรษที่ 1920 วาฬเบลูกาถูกกล่าวหาว่าขโมยกินปลาจากชาวประมง และถูกฆ่าโดยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน จากการศึกษาพบว่าจำนวนวาฬเบลูกาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุการตายมาจากการเกยตื้นที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดหรือการล่า แต่ปัจจุบันนี้ได้มีกฎหมายคุ้มครองและเขตสงวนคุ้มครอง[6]