ประวัติ ของ ว็อล์ฟกัง_อมาเดอุส_โมทซาร์ท

วัยเด็ก (ค.ศ. 1756–1772)

สถานที่เกิดของโมทซาร์ท (Getreidegasse 9, Salzburg, Austria)

โมทซาร์ทเป็นบุตรของนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน เลโอพ็อลท์ โมทซาร์ท (ค.ศ. 1719–1787) รองคาเปลล์ไมสเตอร์ในราชสำนักเจ้าชายอัครมุขนายกแห่งซาลซ์บูร์ก กับอันนา มารีอา แพร์เทิล (ค.ศ. 1720–1778) ว็อล์ฟกัง อามาเด (โมทซาร์ทมักจะเรียกตนเองว่า "Wolfgang Amadè Mozart" ไม่เคยถูกเรียกว่า "อมาเดอุส" ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แม้กระทั่งในรายการบันทึกผู้รับศีลล้างบาป โดยได้รับชื่อละตินว่า "Joannes Chrysostomus Wolfgangus Theophilus Mozart") ได้แสดงได้เห็นอัจฉริยภาพทางดนตรีตั้งแต่อายุสามขวบ เขามีทักษะการฟังที่ยอดเยี่ยม และมีความจำที่แม่นยำ ความสามารถพิเศษยิ่งยวด ทำให้เป็นที่น่าฉงนแก่ผู้คนรอบข้าง และเป็นแรงกระตุ้นให้บิดาของเขา ให้สอนฮาร์ปซิคอร์ดแก่เขาตั้งแต่อายุห้าขวบ โมทซาร์ทน้อยเรียนไวโอลินและออร์แกน เป็นเครื่องดนตรีชิ้นต่อมา ตามด้วยวิชาเรียบเรียงเสียงประสาน เขารู้จักการแกะโน้ตจากบทเพลงที่ได้ยิน และเล่นทวนได้อย่างถูกต้อง ตั้งแต่วัยยังไม่รู้จักอ่านเขียนและนับเลข เมื่ออายุหกขวบ (ค.ศ. 1762) เขาก็แต่งเพลงชิ้นแรกได้แล้ว (เมนูเอ็ต KV.2, 4 และ 5 และอัลเลโกร KV.3)

ครอบครัวโมทซาร์ทเดินทางออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ต: เลโอพ็อลท์, ว็อล์ฟกัง, และนันเนิร์ล

ระหว่าง ค.ศ. 1762–1766 เขาได้เดินทางออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตกับบิดา (ซึ่งเป็นลูกจ้างของซีกิสมุนท์ ฟ็อน ชรัทเทินบัค เจ้าชายอัครมุขนายกแห่งซาลซ์บูร์กในขณะนั้น) และมารีอา อันนา พี่สาวคนโต (มีชื่อเล่นว่า "นันเนิร์ล" เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1751) พวกเขาเปิดการแสดงในนครมิวนิกเป็นแห่งแรก ตามมาด้วยกรุงเวียนนา ก่อนที่จะออกเดินสายครั้งใหญ่ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่มิวนิก, เอาคส์บวร์ค, มันไฮม์, แฟรงก์เฟิร์ต, บรัสเซลส์, ปารีส, ลอนดอน, เดอะเฮก, อัมสเตอร์ดัม, ดีฌง, ลียง, เจนีวา และโลซาน) การแสดงของเขาประทับใจผู้ชมเป็นอย่างมาก และยังทำให้เขาได้พบกับแนวดนตรีใหม่ ๆ อีกด้วย เขาได้พบกับนักดนตรีสำคัญอย่างโยฮัน โชเบิร์ท ที่กรุงปารีส และโยฮัน คริสทีอัน บัค (บุตรชายคนรองของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค) ที่กรุงลอนดอน

เมื่อ ค.ศ. 1767 โมทซาร์ทได้ประพันธ์อุปรากรเรื่องแรก ตั้งแต่อายุได้ 11 ปี ชื่อเรื่อง อพอลโลกับไฮยาซิน (K. 38) เป็นบันเทิงคดีภาษาละติน ที่แต่งให้เปิดแสดงโดยคณะนักเรียน ของโรงเรียนมัธยม ที่ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองซาลซ์บูร์ก เมื่อเขาเดินทางกลับถึงประเทศออสเตรีย เขาได้เดินทางไปยังกรุงวียนนาบ่อยครั้ง และได้แต่งอุปรากรสองเรื่องแรก ได้แก่ นายบาสเตียนกับนางบาสเตียน และ ผู้โง่เขลาจอมปลอม ตลอดช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1768 เมื่อมีอายุได้ 12 ปี

ภาพเขียนแสดงโมทซาร์ทในวัยเด็ก

ในปีถัดมา เขาได้รับการแต่งตั้งจากอัครมุขนายกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต บิดาของเขาได้ขอลาพักงานโดยไม่รับเงินเดือนเพื่อพาเขาไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1769 ถึง ค.ศ. 1773 โมทซาร์ทได้เดินทางไปอิตาลีหลายครั้งเพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับอุปรากร อันเป็นรูปแบบดนตรีที่เขาใช้ประพันธ์ งานแต่งงานของฟีกาโร, ดอน โจวันนี, โคซิฟันตุตเต, ขลุ่ยวิเศษ ฯลฯ เขาสามารถนำเสียงดนตรีอันสูงส่งเหล่านี้ออกมาสู่โลกได้ จากความใส่ใจในความกลมกลืนของเสียงร้อง และความสามารถในการควบคุมเสียง อันเกิดจากเครื่องดนตรีหลากชิ้น

โชคไม่ดีที่ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1771 อัครมุขนายกซีกิสมุนท์ ฟ็อน ชรัทเทินบัค สิ้นพระชนม์ อัครมุขนายกฮีโรนีมุส ฟ็อน ค็อลโลเรโดได้กลายมาเป็นนายจ้างคนใหม่ของเขา

รับใช้ราชสำนักซาลซ์บูร์ก (ค.ศ. 1773–1781)

ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท

โมทซาร์ทไม่มีความสุขที่บ้านเกิดของเขา เนื่องจากนายจ้างใหม่ไม่ชอบให้เขาออกไปเดินทางท่องเที่ยวและยังบังคับรูปแบบทางดนตรี ที่เขาได้ประพันธ์ให้กับพิธีทางศาสนา เมื่อมีอายุได้ 17 ปี เขาไม่ยินดีที่จะยอมรับข้อบังคับนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัครมุขนายกเสื่อมถอยลงในอีกสามปีต่อมา โชคดีที่เขาได้รู้จักกับโยเซ็ฟ ไฮเดิน ซึ่งก็ได้มาเป็นเพื่อนโต้ตอบทางจดหมาย และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต

"ข้าต้องการพูดต่อหน้าพระเจ้า ในฐานะชายผู้ซื่อสัตย์ บุตรชายของท่านเป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักเป็นการส่วนตัวหรือรู้จักเพียงในนาม เขามีรสนิยม และนอกเหนือจากนั้น เป็นศาสตร์ทางการประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"
ในจดหมายที่โยเซ็ฟ ไฮเดิน เขียนถึง เลโอพ็อลท์ โมทซาร์ท


"มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักเคล็ดลับที่จะทำให้ข้าหัวเราะ และสัมผัสจิตวิญญาณส่วนที่อยู่ลึกสุดของข้าเอง"
ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท กล่าวถึงโยเซ็ฟ ไฮเดิน


ใน ค.ศ. 1776 โมทซาร์ทมีอายุได้ 20 ปี และได้ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองซาลซ์บูร์ก อย่างไรก็ดีเลอัครมุขนายกปฏิเสธไม่ให้บิดาของเขาไปด้วย และบังคับให้เขาลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต หลังจากการเตรียมการเป็นเวลาหนึ่งปี โมทซาร์ทได้จากไปพร้อมกับมารดา โดยเดินทางไปยังนครมิวนิกเป็นแห่งแรก ที่ซึ่งเขาหาตำแหน่งงานไม่ได้ จากนั้นจึงไปที่เมืองเอาคส์บวร์ค และท้ายสุดที่มันไฮม์ ที่ซึ่งเขาได้ทำความรู้จักกับนักดนตรีมากมาย อย่างไรก็ดี แผนการที่จะหาตำแหน่งงานของเขาไม่เป็นผลสำเร็จ ในระหว่างนั้นเองที่เขาได้ตกหลุมรักอล็อยซีอา เวเบอร์ นักเต้นระบำแคนตาตาสาวอย่างหัวปักหัวปำ ที่ทำให้บิดาของเขาโกรธมาก และขอให้เขาอย่าลืมอาชีพนักดนตรี โมทซาร์ทมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาเริ่มเข้าใจว่าจะต้องออกหางานทำต่อไป และออกเดินทางไปยังกรุงปารีสในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1778

เป็นอิสระที่กรุงเวียนนา (ค.ศ. 1782–1791)

ค็อนสตันท์เซอ เวเบอร์ ภรรยาของโมทซาร์ท

ใน ค.ศ. 1781 โมทซาร์ทเดินทางไปยังกรุงเวียนนากับเจ้าชายอัครมุขนายก ฟ็อน ค็อลโลเรโด ผู้ได้เลิกจ้างโมทซาร์ทที่เวียนนา โมทซาร์ทจึงตั้งรากฐานอยู่ที่เวียนนา เมื่อเห็นว่าชนชั้นสูงเริ่มชอบใจในตัวเขา และในปีเดียวกันนั้น โมทซาร์ทได้แต่งงานกับค็อนสตันท์เซอ เวเบอร์ นักร้องโซปราโน (ซึ่งเป็นน้องสาวของอล็อยซีอา เวเบอร์ ซึ่งโมทซาร์ทเคยหลงรัก) โดยที่บิดาของโมทซาร์ทไม่เห็นด้วยกับงานวิวาห์นี้ โมทซาร์ทและค็อนสตันท์เซอมีลูกด้วยกันถึงหกคน ซึ่งเพียง 2 คนรอดพ้นวัยเด็ก

ค.ศ. 1782 เป็นปีที่ดีสำหรับโมทซาร์ท อุปรากรเรื่อง Die Entführung aus dem Serail ประสบความสำเร็จอย่างมาก และโมทซาร์ทก็ได้แสดงคอนเสิร์ตชุดที่เขาเล่นในเปียโนคอนแชร์โตของเขาเอง

ระหว่าง ค.ศ. 1782–1783 โมทซาร์ทได้รับอิทธิพลจากผลงานของโยฮัน เซบัสทีอัน บัค และจอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล ผ่านบารอนก็อทฟรีท ฟัน สวีเทิน (Gottfried van Swieten) แนวเพลงของโมทซาร์ทจึงได้รับอิทธิพลจากยุคบาโรกตั้งแต่นั้นมา อย่างที่เห็นได้ชัดในท่อนฟิวก์ของ ขลุ่ยวิเศษ และ ซิมโฟนี หมายเลข 41

ในช่วงนี้เองโมทซาร์ทได้มารู้จักและสนิทสนมกับโยเซ็ฟ ไฮเดิน โดยทั้งสองมักจะเล่นในวงควอเท็ตด้วยกัน และโมทซาร์ทก็ยังเขียนควอเท็ตถึงหกชิ้นให้ไฮเดิน ไฮเดินเองก็ทึ่งในความสามารถของโมทซาร์ท และเมื่อได้พบกับลีโอโปลด์ พ่อของโมทซาร์ท ได้กล่าวกับเขาว่า "ต่อหน้าพระเจ้าและในฐานะคนที่ซื่อสัตย์ ลูกของท่านเป็นนักประพันธ์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยได้พบหรือได้ยิน เขามีรสนิยม และมากกว่านั้น เขามีความรู้เรื่องการประพันธ์" เมื่อโมทซาร์ทอายุมากขึ้น เขาก็ได้รับอิทธิพลจากนักปราชญ์แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 และเป็นพวกฟรีเมสันที่อยู่ในสาขาโรมันคาทอลิก อุปรากรเรื่องสุดท้ายของโมทซาร์ทแสดงถึงอิทธิพลพวกฟรีเมสัน

ชีวิตของโมทซาร์ทมักพบกับปัญหาทางการเงินและโรคภัยไข้เจ็บ โมทซาร์ทย่อมไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับงานของเขา และเงินที่เขาได้รับนั้นก็ถูกผลาญด้วยวิถีชีวิตที่หรูหราอลังการ

โมทซาร์ทใช้ชีวิตในช่วง ค.ศ. 1786 ที่กรุงเวียนนาในอะพาร์ตเมนต์ที่จนถึงวันนี้ยังสามารถเข้าชมได้ที่เลขที่ 5 ถนนด็อมกัสเซอ หลังมหาวิหารนักบุญสเทเฟน (St. Stephen's Cathedral) โมทซาร์ทประพันธ์ งานแต่งงานของฟีกาโร และ ดอน โจวันนี ณ ที่แห่งนี้

บั้นปลายชีวิต

บั้นปลายและการเสียชีวิตของโมทซาร์ทยังคงเป็นเรื่องที่หาข้อสรุปยากสำหรับนักวิชาการ เพราะมีทั้งตำนานและเรื่องเล่าแต่ขาดหลักฐาน มีทฤษฏีหนึ่งสันนิษฐานว่าสุขภาพของโมทซาร์ทเริ่มแย่ลงทีละเล็กละน้อย และโมทซาร์ทรับรู้สภาพนี้ซึ่งปรากฏขึ้นในงานประพันธ์ของเขา แต่นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยอ้างถึงจดหมายที่โมทซาร์ทเขียนถึงครอบครัว ที่ยังมีทัศนคติที่สดใส และปฏิกิริยาของครอบครัวเมื่อได้ข่าวเรื่องการเสียชีวิตของโมทซาร์ท การเสียชีวิตของโมทซาร์ทยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ มรณบัตรของโมทซาร์ทบันทึกไว้ว่าเขาเสียชีวิตเพราะโรคไทฟอยด์ และมีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายการเสียชีวิตให้มากขึ้น

โมทซาร์ทเสียชีวิตในเวลาประมาณ 01.00 น. วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791 ในขณะที่เขากำลังประพันธ์เพลงเรควีเอ็มที่ยังประพันธ์ไม่เสร็จ ตามตำนานที่เล่าขาน โมทซาร์ทตายโดยที่ไม่เหลือเงินและถูกฝังในหลุมศพของคนอนาถา ร่างของโมทซาร์ทถูกฝังอย่างเร่งรีบในที่ฝังศพสาธารณะ เพราะระหว่างที่นำศพไปนั้นเกิดมีพายุแรงและฝน ลูกเห็บตกอย่างหนัก ทำให้หีบศพถูกหย่อนไว้ร่วมกับศพคนยากจนอื่น ๆ ไม่มีเครื่องหมายใดว่านี่คือศพของโมทซาร์ท

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โมทซาร์ทไม่เป็นที่นิยมชมชอบอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป เขายังคงมีงานที่มีรายได้ดีจากราชสำนัก และยังได้รับเงินอุดหนุนจำนวนมากจากส่วนอื่น ๆ ของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกรุงปราก ยังมีจดหมายขอความช่วยเหลือทางการเงินของโมทซาร์ทหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานว่าเขาจนเพราะรายจ่ายเกินรายรับ ศพของเขาไม่ได้ถูกฝังในหลุมฝังศพรวม แต่ในสุสานของชุมชนตามกฎหมายใน ค.ศ. 1783 แม้ว่าหลุมศพดั้งเดิมในสุสานเซนต์มาร์กจะหายไป แต่ก็มีป้ายหลุมศพที่ตั้งไว้เป็นอนุสรณ์สถานในเซนทรัลไฟรด์ฮอฟ

ใน ค.ศ. 1809 ค็อนสตันท์เซอได้แต่งงานใหม่กับจอร์จ นีโคเลาส์ ฟอน นีสเสน นักการทูตชาวเดนมาร์ก (ค.ศ. 1761–1826) ผู้ซึ่งหลงใหลคลั่งใคล้ในตัวโมทซาร์ทอย่างมาก ถึงกับแต่งเรื่องราวเกินจริงจากจดหมายของโมทซาร์ท และแต่งชีวประวัติของคีตกวีเอกอีกด้วย

โมทซาร์ทมีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยา และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมัยรัตนโกสินทร์

ใกล้เคียง

ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท ว็อล์ฟกัง เพาลี ว็อล์ฟกัง เพเทอร์เซิน ว็อล์ฟกัง เดอ แบร์ ว็อล์ฟกัง เพาล์ ว็อล์ฟรัม ฟ็อน ริชท์โฮเฟิน ว็อล์ฟรัม แบร์เกอร์ ว็อล์ฟ อัคควา ว็อล์ฟราทซ์เฮาเซิน ว็อลฟส์บวร์ค