ลักษณะ ของ ศักดินา

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของที่ดินทั้งปวง มีสิทธิจับจอง พระราชทาน และริบคืนที่ดินได้ เช่น ใน พ.ศ. 2404 สมัยรัชกาลที่ 4 มีการเกณฑ์คนไปขุดคลองแถวแขวงเมืองนนทบุรี นครไชยศรี แล้วยกที่ดินนั้นให้แก่พระเจ้าลูกเธอโดยยกเว้นการเสียภาษีให้ด้วย[1]:143–4 ในรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2337 ทรงพระราชทานแดนเมืองพระตะบองและเสียมราฐให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)[1]:132

ชนชั้นศักดินา (ไร่)
เจ้านายและฝ่ายใน2,500–100,000
เจ้านายชั้นรองที่ได้รับบรรดาศักดิ์และนางใน100–1,000
ขุนนาง25–10,000
ไพร่5–20
ทาส5

ศักดินาที่ระบุไว้เป็นการกำหนดปริมาณที่ดินสูงสุดที่บุคคลหนึ่งจะมีได้[1]:129 ในสมัยหลังมีการสืบทอดมรดก ผู้ที่ได้รับพระราชทานที่ดินไปแล้วแม้ออกจากราชการหรือเสียชีวิตลงไม่ต้องเวนคืนพระมหากษัตริย์ ที่ดินในกรรมสิทธิ์เจ้านายและขุนนางมีมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยมีการแบ่งที่ดินอีก บรรดาที่ดินใหม่ ๆ ที่ถางได้พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงมักครอบครอง[1]:140–1 นอกจากนี้ศักดินาเป็นตัวกำหนดสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ ศักดินาใช้คำนวณเบี้ยหวัดรายปี อัตราปรับไหม ศักดินา 400 ขึ้นไปมีสิทธิ์จ้างทนายความแก้ต่างในศาลได้[1]:142

ในกฎหมายศักดินา เจ้านายทรงกรม หมายถึง เจ้านายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสามารถบังคับบัญชาไพร่พลได้ กรมหนึ่งมีเจ้ากรม ปลัดกรมและสมุห์บัญชี กรมนี้ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียนไพร่ในบังคับ เรียกว่า "เลก"[1]:132

พึงเข้าใจว่าไพร่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมนั้นมีศักดินาเพียง 5 ไร่ เท่ากับขอทานและทาส ไพร่ที่มีศักดินาสูงขึ้นมานั้นเป็นไพร่จำนวนน้อย เช่น ไพร่ในสังกัดเจ้านาย ไพร่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในราชอาณาจักร ไพร่ที่คุมงานโยธา เป็นต้น

ไพร่ชายอายุตั้งแต่ 18 ถึง 60 ปีบริบูรณ์มีหน้าที่ต้อง "เข้าเวร" คือการถูกเกณฑ์แรงงาน (corvée) ทั้งในด้านการเกษตร การโยธา เป็นต้น โดยในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีกำหนดเข้าเวรปีละ 6 เดือน ในช่วงนี้ไพร่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ และต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ทั้งค่าอาหาร วัวควายและเครื่องมือการเกษตร ซ้ำเมื่อออกเวรแล้วต้องเสียค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรองที่เรียก "ตราภูมิคุ้มห้าม" เป็นเงิน 2.35 บาทด้วย[1]:185–6 ต่อมา ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้ลดลงเหลือปีละ 4 เดือนและ 3 เดือน สำหรับไพร่ที่ไม่อยากเข้าเวรสามารถจ่ายส่วยแทนแรงได้ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์คิดปีละ 12 บาท สำหรับอัตราในสมัยอยุธยาตอนปลายไม่เท่ากัน มีตั้งแต่เดือนละ 3–8 บาท[1]:176–7 ในรัชกาลที่ 1 คิดปีละ 18 บาท สมัยรัชกาลที่ 5 หลังเลิกไพร่แล้ว มีการเก็บ "ค่าราชการ" ชายอายุ 18–60 ปีที่ไม่ถูกเกณฑ์ทหารปีละ 6 บาท ในรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนให้เก็บครอบคลุมยิ่งขึ้น เรียกว่า "เงินรัชชูปการ"

ชนชั้นนักบวช

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้