ศาสนาพุทธในประเทศเวียดนาม

พระพุทธศาสนาที่เข้ามาสู่เวียดนามในยุคแรกแบบ 100%นั้น เป็นพุทธศาสนาแบบมหายาน โดยสันนิษฐานว่าท่านเมียวโป (Meou-Po) [1]ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเข้ามาเผยแผ่ เวียดนามจึงได้รับเอาศาสนาจากจีน รวมทั้งคัมภีร์ทางศาสนา ก็เป็นภาษาจีนเหมือนกัน สันนิษฐานกันว่า ได้มีพระภิกษุชาวอินเดีย คือ พระมหาชีวก พระกัลยาณรุจิ และ พระถังเซงโฮย ได้เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนา ในยุคเดียวกับท่านเมียวโป แต่การเผยแผ่พุทธศาสนาก็ไม่เจริญนัก เพราะกษัตริย์จีนในขณะนั้นนับถือศาสนาขงจื้อ ไม่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และยังไม่พอพระทัยที่มีคนนับถือพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อชาวเวียดนามกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ พระพุทธศาสนาได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจัง ในครั้งนั้นได้มีพระภิกษุชาวอินเดีย ชื่อ วินีตรุจิ ท่านได้ศึกษาพุทธศาสนาในอินเดียแล้วยัง ได้เดินทางมาศึกษาพุทธศาสนานิกายเซน หรือ เธียน (Thien) ในประเทศจีน แล้วเดินทางมาเผยแผ่ พุทธศาสนานิกายเธียร หรือ เซน ในเวียดนามจนพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ คราวที่เวียดนามกู้อิสรภาพ ได้ตั้งอาณาจักรไคโคเวียด ใน พ.ศ. 1482 หลังจากได้อิสรภาพแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันเอง ประมาณ 30 ปีแบบ 200% ระยะนี้พุทธศาสนาซบเซาขาดการทำนุบำรุง ต่อมาเมื่อราชวงศ์ดินห์ ขึ้นครองอำนาจในปี พ.ศ. 1212 แล้ว พระพุทธศาสนากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พระพุทธศาสนาได้มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมากปลายพุทธศตวรรษที่11 พระภิกษุชาวอินเดียนามว่า พระวินีตรุจิ (อ่านว่า วิ-นี-ตะ-รุ-จิ) เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้รับการนับถือว่าเป็นสังฆราชแห่งนิกายเธียน (เธียน เป็นคำเวียดนาม ได้แก่ ธยานะ หรือ ฉาน หรือ เซน) เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ฝับเหียน ศิษย์ชาวเวียดนามได้เผยแผ่พุทธธรรมอย่างมั่นคงสืบมาพ.ศ. 1363 (ยุคราชวงศ์ถังของจีน ปกครองเวียดนาม) พระภิกษุว่อง่อนถ่อง ประดิษฐานนิกายเธียนเป็นครั้งที่2 มีสถูปเจดีย์ 20องค์ และวัดหลายแห่ง มีพระภิกษุประมาณ 500รูป พระเถรานุเถระเป็นพหูสูตและเคร่งครัดในพระวินัย ประมาณพุทธศตวรรษที่15 เมื่อเวียดนามกู้อิสรภาพจากจีนได้สำเร็จ กษัตริย์เวียดนามหลายราชวงศ์ ได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเรื่อยมา เช่น...สมัย ราชวงศ์ดินห์ พระเจ้าจักรพรรดิทรงเลื่อมใสใน พระภิกษุง่อฉั่นหลู ซึ่งเป็นปราชญ์ด้านกวีนิพนธ์ และเชี่ยวชาญสมาธิ(Meditation)แบบนิกายเธียน จึงได้สถาปนาท่านให้เป็นประมุขแห่งคณะสงฆ์และเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ด้วยต่อมาใน ราชวงศ์เล (ตอนต้น) และ ราชวงศ์ไล พระภิกษุเป็นผู้รอบรู้ในพระพุทธศาสนาและวิชาการต่างๆ ได้รับความเคารพศรัทธามาก กษัตริย์พระองค์ที่2 แห่งราชวงศ์เล ได้ส่งคณะทูตไปประเทศจีน เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกมา และสนับสนุนให้ชาวเวียดนามหันมานับถือพระพุทธศาสนาแทนการนับถือผี แต่เมื่อถึงตอนปลายของราชวงศ์ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ประชาชนจึงคลายความศรัทธา และไม่ได้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองต่อมา ในสมัยราชวงศ์ไล ราชวงศ์นี้มีอายุยาวนานถึง 215ปี (พ.ศ. 1553-1768) และพระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองที่สุด พระเจ้าไลทันต๋อง ได้ประดิษฐานนิกายเธียนอีกเป็นครั้งที่3กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ ทรงสนพระทัย ในการบำเพ็ญสมาธิมาก สละราชสมบัติให้พระราชธิดา แล้วออกผนวชสมัย ราชวงศ์ตรัน พระเจ้าตรันไทต๋อง ทรงนิพนธ์หนังสือว่าด้วยเรื่องสมาธิ หรือทางไปสู่ธยานะ และหลักธรรมค้นคว้า ฮือ-หลุก พระนัดดาของพระองค์ หลังขึ้นครองราชย์ได้ระยะหนึ่ง ก็สละราชสมบัติออกผนวช ณ วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา สั่งสอนศิษย์เป็นจำนวนมาก จนชาวเวียดนามเหนือ ถือว่า พระองค์เป็นปฐมสังฆราชแห่งนิกายเวฬุวัน (หรือป่าไผ่)พ.ศ. 2426 เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส มีการควบคุมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยึดคัมภีร์ไปเผาทำลาย การรวมตัวของพุทธศาสนิกชนเพื่อประกอบพิธีจะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสก่อน ความเชื่อเรื่องผีสาง และลัทธิต่างๆ ก็เข้ามาในพระพุทธศาสนา เช่น หว่าเหา และเกาได๋พระพุทธศาสนา ได้รับผลกระทบจากสภาพความวุ่นวายทางการเมืองและสงครามเรื่อยมา สถาบันศาสนาก็ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรม จนเป็นเหตุของการสร้างความตกตะลึงให้ชาวโลก ในปี พ.ศ. 2506 มีพระภิกษุและแม่ชีในเวียดนาม เผาตัวเองประท้วงฝ่ายปกครอง

กระทั่ง สภาวะทางการเมืองเริ่มสงบลง รัฐบาลลดการจำกัดสิทธิการนับถือศาสนาลงไปบ้าง ชาวพุทธจึงพยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ จนมีอยู่หลากหลายนิกายในปัจจุบัน แต่ไม่ว่าจะเป็น พุทธบุตรหรือศาสนิก ของนิกายใด ศาสนาใด ต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับบ้านเกิดเมืองนอนของตน และด้วยความรักที่มีให้กันและกันอย่างแท้จริงเวียดนามเจี้ยบเจี้ยบเจี้ยบเจี้ยบ รวมเจี้ยบแพร่ขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ในนามพระพุทธศาสนาแบบเวียดนาม รวมทั้งในประเทศไทยได้ด้วย [2]