ประวัติ ของ ศิลปะเกี่ยวกับความตาย

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

เพิงหินพูบนาบรอนในไอร์แลนด์คลุมผู้ตายอย่างน้อย 22 คนจากสมัยหิน

วิธีการทำศพที่เก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานทางโบราณคดีคือการก่อสร้างที่ฝังศพ[2] โครงสร้างหิน (Megalith) ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่แรกที่สุดสร้างห่างกันเพียงในช่วงไม่กี่ร้อยปีแต่กระนั้นก็ยังแสดงลักษณะรูปทรงที่แตกต่างกันออกไปมากและมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป โครงสร้างหินในคาบสมุทรไอบีเรียมีหลุมศพที่เมื่อตรวจสอบด้วยการเปล่งแสงความร้อน (Thermoluminescence) แล้วก็พบว่ามีอายุราว 4510 ปีก่อนคริสต์ศักราช ขณะที่ฝังศพบางแห่งเช่นที่ วงหินคาร์ยัคในบริตานีมีอายุราว 5000 ปีก่อนคริสต์ศักราช [3] คุณค่าทางด้านการเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ตายของการสร้างโครงสร้างหินจะเห็นได้จากการสร้างที่เมื่อเวลาผ่านไปเนินก็จะสูงขึ้น และการก่อสร้างที่ตั้งแต่ต้นแล้วมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่มีความสำคัญ วัตถุประสงค์ดังกล่าวสามารถทำได้โดยการสร้างที่บรรจุศพสำหรับผู้ใดผู้หนึ่งแต่เพียงผู้เดียว และล้อมรอบด้วยคูคันและทางระบายน้ำอันซับซ้อน การบรรจุศพบนดินอยู่บนพื้นฐานของความต้องการที่จะเป็นสถานที่สำหรับทำการสักการะร่วมกันโดยหมู่ชนที่เกี่ยวข้องกับการสักการะบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นในหมู่ชนที่มีความก้าวหน้าทางการตั้งถิ่นฐานเป็นที่เป็นทาง และทำการเลี้ยงปศุสัตว์ และมีระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนขึ้น[4]

เพิงหินกลันเทนที่เคาน์ตีคอร์คในไอร์แลนด์

เมื่อมาถึงสังคมของยุคหินและยุคสัมริดก็มีการฝังศพหรือบรรจุศพด้วยวิธีต่างๆ ที่รวมทั้งการสร้างเนินทิวมิวลัส และ เพิงหินขนาดใหญ่ ที่มักจะมีเครื่องปั้นดินเผาเป็นองค์ประกอบ ในยูเรเชียก็จะมีการสร้างเพิงหินที่ทำเป็นห้องบรรจุศพที่เดิมคลุมด้วยดินที่เดิมมีลักษณะเป็นเนิน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปดินและหินที่ใช้ก็จะถูกกัดกร่อนจนเหลือแต่โครงร่างที่ดูเหมือนเพิงตั้งอยู่เท่านั้น หินที่ใช้ในการก่อสร้างก็อาจจะมีการแกะสลักเป็นลวดลายเรขาคณิต (ลายสลักหิน) เช่น ลายถ้วยและวงแหวน (Cup and ring mark) นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างที่ฝังศพเป็นกลุ่ม ซึ่งยังคงยากต่อการเข้าใจถึงความหมาย การบรรจุศพโดยการใช้โกศ ที่บรรจุเฉพาะกระดูกภายในภาชนะที่ทำด้วยเครื่องปั้นดินเผาทั้งในที่เก็บศพอันหรูหราหรือเพียงลำพังก็เป็นที่แพร่หลายโดยทั่วไป และไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในอารยธรรมเอิร์นฟิลด์ หรือในยูเรเชียเท่านั้น

อียิปต์โบราณ

หน้ากากผู้ตายเซอรามิคแบบอียิปต์

ศิลปะเกี่ยวกับความตายของอียิปต์มีความสัมพันธ์โดยตรงเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องชีวิตที่ยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว และการที่จะช่วยให้การเดินทางจากโลกนี้ไปยังโลกหน้าทำได้สำเร็จก็จะต้องรักษารูปลักษณ์และสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ตายเอาไว้[5] หุบเขากษัตริย์ได้รับการสร้างขึ้นให้เป็นเนินสำหรับผู้ตาย (necropolis) สำหรับฟาโรห์และชนชั้นสูงตั้งแต่ราว 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาความสำคัญก็ได้ย้ายไปที่เนินธีบ (Theban Necropolis) ซึ่งเป็นที่ตั้งของมรณสถาน (Mortuary temple) และสุสานมาสตาบา ภาพเหมือนผู้ตายเริ่มพบกันตั้งแต่สมัยแรก แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นภาพเหมือนของอียิปต์โบราณจริงหรือไม่ จุดประสงค์ของการบรรจุศพก็เพื่อเฉลิมฉลองชีวิตของเจ้าของที่บรรจุศพ ให้สิ่งของที่จำเป็นต่อชีวิตหลังจากที่ตายไปแล้ว บรรยายพิธีฝัง และ สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการเกิดใหม่ของเจ้าของที่บรรจุศพ[6] การทำศพของชาวอียิปต์ได้รับการจารึกไว้ในเอกสารเกี่ยวกับการศพที่อธิบายถึงวัตถุประสงค์ของประเพณีการฝังศพ นอกจากนั้นก็ยังมีการบรรจุศพโดยการอนุรักษ์เป็นมัมมี่เอาไว้ภายในโลงหลายชั้นพร้อมด้วยการรักษาอวัยวะภายในไว้ในผอบที่ตั้งไว้ไม่ไกลนัก

ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าก็จะสร้างศิลปะเกี่ยวกับความตายที่ใช้กันทั่วไป ที่รวมทั้งรูปปั้นชับตีผู้ที่จะเป็นผู้ทำงานที่ต้องการแทนผู้ตาย, หุ่นบีเติล และหนังสือมรณีที่เชื่อกันว่าจะช่วยพิทักษ์ตนเองได้เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว[7] ระหว่างราชอาณาจักรอียิปต์กลางก็เริ่มมีการใช้หุ่นดินเหนียวหรือไม้ขนาดเล็กที่จัดเป็นฉากชีวิตประจำวัน เพื่อไปดำเนินต่อไปเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว[8]