สถาปัตยกรรมมัวร์ (
อังกฤษ: Moorish architecture) เป็นรูปแบบหนึ่งใน
สถาปัตยกรรมอิสลามที่ซึ่งมีวิวัฒนาการในโลก
อิสลามตะวันตก อันรวมถึง
อัลอันดะลุส (
สเปนและ
โปรตุเกสภายใต้การปกครองของมุสลิมระหว่าง ค.ศ. 711 ถึง 1492),
โมร็อกโก,
แอลจีเรีย และ
ตูนิเซีย[1][2][3][4][5] ศัพท์ มัวร์ มาจากคำที่ชาว
ยุโรปตะวันตกใช้เรียกชาวมุสลิมในภูมิภาคเหล่านั้นว่า "
ชาวมัวร์"
[6][7][8] ซึ่งมาจากคำใน
ภาษาละตินว่า "
เมารี" (Mauri) ซึ่งดั้งเดิมแล้วหมายถึงผู้ที่มาจากดินแดน
เมาเรตานิอา (Mauretania) ซึ่งคือโมร็อกโกในปัจจุบัน
[9] จึงทำให้บางครั้งมีผู้เรียกสถาปัตยกรรมมัวร์ว่า
สถาปัตยกรรมอิสลามตะวันตก (Western Islamic architecture)
[1][10]สถาปัตยกรรมมัวร์เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของ
ชาวเบอร์เบอร์ใน
แอฟริกาเหนือ,
ไอบีเรียยุคก่อนอิสลาม (
โรมันโบราณ,
ไบแซนไทน์ และ
วิซิกอธ) และอิสลามแบบ
ตะวันออกกลาง องค์ประกอบที่เป็นที่รู้จักของสถาปัตยกรรมมัวร์ เช่น
ช่องโค้งรูปเกือกม้าแบบ "มัวร์", สวน
ริยาฎ และลวดลายนูนต่ำ
เรขาคณิตและ
อะราเบสก์ในงานไม้ งานปูนแต่ง และงานกระเบื้อง (เช่น
ซิลลีจญ์)
[1][2][7][11][4] เมืองที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของการพัฒนาสถาปัตยกรรมมัวร์ได้แก่
กอร์โดบา,
อัลก็อยเราะวาน,
แฟ็ส,
มาร์ราเกช,
เซบิยา,
กรานาดา และ
ตแลมแซนเป็นต้น
[1]หลังจากการปกครองของมุสลิมในสเปนและโปรตุเกส
สิ้นสุดลงแล้ว ธรรมเนียมของสถาปัตยกรรมมัวร์ยังคงปรากฏในแอฟริกาตอนเหนือและใน
สถาปัตยกรรมมูเดฆาร์ในสเปน ที่ซึ่งนำเอาองค์ประกอบของมัวร์ไปประยุกต์ใช้ในงานของ
ศาสนาคริสต์[12][5] ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปรากฏว่าสถาปัตยกรรมมัวร์ถูกนำมา
เลียนแบบหรือพัฒนาขึ้นเป็น
สถาปัตยกรรมมัวร์ฟื้นฟู (Moorish Revival) หรือหรือมัวร์ใหม่ (Neo-Moorish) โดยเฉพาะในแถบ
สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลจากกระแส
จินตนิยมใน
คตินิยมโลกตะวันออก นอกจากนี้ในปัจจุบันยังปรากฏสถาปัตยกรรมแบบมัวร์โดดเด่นเป็นพิเศษในสถาปัตยกรรม
ซิโนกอก ศาสนสถานของ
ศาสนายิวที่สร้างขึ้นในยุคหลัง ๆ
[13][14]