ความพยายามของผู้มีการศึกษา ของ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในจักรวรรดิการอแล็งเฌียง

ดูเพิ่มเติมที่: Carolingian minuscule และ Medieval Latin

ความขาดแคลนผู้มีการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ของยุโรปตะวันตกก่อให้เกิดปัญหาสำหรับนักปกครองกาโรแล็งเฌียงโดยจำกัดจำนวนผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้ารับราชการในราชสำนักในฐานะนักคัด นอกจากนั้นปัญหาที่ใหญ่กว่าต่อประมุขผู้เคร่งครัดทางศาสนาคือนักบวชบางองค์ก็ไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญพอที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละติน (Vulgate Bible) ได้ ปัญหาอื่นก็คือภาษาละตินพื้นบ้านของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเริ่มที่จะขาดมาตรฐานและเพี้ยนไปเป็นภาษาท้องถิ่น ที่เป็นบรรพบุรุษของภาษากลุ่มโรมานซ์ในปัจจุบัน ภาษาที่เพี้ยนไปก็เป็นภาษาที่ไม่มีความหมายและทำให้ผู้มีการศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ ในยุโรปไม่อาจจะสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อัลควิน (กลาง) นักการศึกษาคนสำคัญของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง

ในการพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวจักรพรรดิชาร์เลอมาญจึงมีพระบรมราชโองการให้ก่อตั้งสถานศึกษาต่าง ๆ ขึ้น องค์ประกอบสำคัญของโครงการปฏิรูปของพระองค์คือการพยายามดึงดูดผู้นำทางการศึกษาเข้ามารับราชการในราชสำนัก กลุ่มคนแรกในบรรดาผู้ที่ทรงเรียกตัวมายังราชสำนักก็ได้แก่ชาวอิตาลี: ปีเตอร์แห่งปิซาผู้ถวายอักษรภาษาละตินให้แก่พระองค์ระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึงราว ค.ศ. 790 และพอลินัสที่ 2 แห่งอควิเลเอียระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึง ค.ศ. 787 ผู้ที่จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นบิชอปแห่งอควิเลเอียในปี ค.ศ. 787 พอลเดอะดีคอนจากลอมบาร์ดีถูกนำตัวมายังราชสำนักในปี ค.ศ. 782 และอยู่ต่อมาจนถึง ค.ศ. 787 เมื่อจักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสที่มอนเตคาสซิโน ทีโอดุลฟ์แห่งออร์เลอองส์ผู้เป็นชาววิซิกอธสเปนรับราชการในราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 797 เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิชอปแห่งออร์เลอ็อง ทีโอดุลฟ์มีบทบาทในการสร้างมาตรฐานให้แก่คัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละตินแข่งอย่างเป็นมิตรกับอัลคิวอิน อัลคิวอินเป็นนักบวชจากนอร์ทธัมเบรียผู้มีตำแหน่งเป็นประธานของสถานศึกษาของราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 796 ยกเว้นระหว่างปี ค.ศ. 790 จนถึงปี ค.ศ. 793 เมื่อเดินทางกลับไปอังกฤษ หลังจากปี ค.ศ. 796 อัลคิวอินก็ดำเนินการค้นคว้าทางวิชาการในฐานะเจ้าอาวาสอยู่ที่สำนักสงฆ์เซนต์มาร์ตินที่เมืองตูร์[1] ในบรรดาผู้ติดตามอัลคิวอินข้ามจากอังกฤษไปรับราชการในราชสำนักของจักรพรรดิชาร์เลอมาญก็ได้แก่โจเซฟ สกอตตัสชาวไอร์แลนด์ หลังจากนักการศึกษารุ่นแรกที่เป็นชาวต่างประเทศแล้ว ลูกศิษย์ที่เป็นชาวแฟรงค์เช่นอองชิลแบร์ตก็มีบทบาทต่อมา

ราชสำนักต่อมาของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธาและ จักรพรรดิคาร์ลที่ 2 หรือ “ชาลส์เดอะบอลด์” ก็ทรงอุปถัมภ์กลุ่มนักการศึกษาเช่นเดียวกันในราชสำนัก บุคคลที่สำคัญที่สุดในบรรดานักการศึกษาเหล่านี้ก็ได้แก่โยฮันน์ส สโคทัส อีรูจินานักปรัชญา, นักเทววิทยา และกวีชาวไอร์แลนด์

กิจการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการสร้างหลักสูตรมาตรฐานเพื่อใช้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่เพิ่งทำการก่อตั้งขึ้น อัลควินเป็นผู้นำในโครงการดังกล่าวและเป็นผู้รับผิดชอบในการเขียนตำรา, สร้างรายชื่อคำศัพท์ และวางรากฐานของไตรศาสตร์และจตุรศิลปศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานของการศึกษา[3]

อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือการวิวัฒนาการอักษรกาโรแล็งเฌียง ที่ใช้เป็นครั้งแรกที่อารามคอร์บีและตูร์ ที่ประกอบด้วยการใช้อักษรตัวเล็ก (lower case) กันเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างภาษาละตินมาตรฐานที่เป็นภาษาที่สามารถสร้างคำใหม่ได้ ขณะที่ยังคงรักษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาละตินคลาสสิกเอาไว้ ภาษาละตินสมัยกลางที่วิวัฒนาการขึ้นมากลายมาเป็นภาษากลางในการให้การศึกษา และสำหรับข้าราชการผู้บริหารและนักเดินทางสามารถเป็นที่เข้าใจในบริเวณต่าง ๆ ของยุโรป[4]

ใกล้เคียง