สมเด็จพระราชินีนาถยัดวีกาแห่งโปแลนด์ (
โปแลนด์: Jadwiga, ออกเสียง: [jadˈviɡa] (
ฟังเสียง); 3 ตุลาคม ค.ศ. 1373 - 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1399) ทรงเป็น
สมเด็จพระราชินีนาถแห่ง
ราชอาณาจักรโปแลนด์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1384 จวบจนสวรรคต พระองค์เป็นพระราชธิดาองค์สุดท้องใน
พระเจ้าลุดวิกที่ 1 แห่งฮังการีกับ
อลิซาเบธ สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีและโปแลนด์[2]พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ใน
ราชวงศ์กาเปเซียงสายอ็องฌู แต่ก็ทรงสืบเชื้อสาย
ราชวงศ์เปียสต์ของโปแลนด์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นนักบุญโดยศาสนจักรโรมันคาทอลิกในปี ค.ศ. 1997พระองค์เคยถูกวางแผนให้อภิเษกสมรสกับ
วิลเฮล์มแห่งออสเตรีย บุตรของ
เลโอพ็อลท์ที่ 3 ดยุกแห่งออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1375 และพระองค์ก็ถูกส่งตัวไปอยู่ที่เวียนนาระหว่าง ค.ศ. 1378-1380 ซึ่งภายในฮังการี พระองค์และวิลเฮล์มต่างก็ถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่พระราชบิดาพอพระทัย หลังจากที่พระเชษฐภคินี
แคทเธอรีนแห่งฮังการี สิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ. 1379 ในปีเดียวกันนั้นเอง ขุนนางชาวโปแลนด์ก็ได้กระทำการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระราชธิดาพระองค์ที่สองของพระเจ้าลุดวิก
เจ้าหญิงแมรี่ และพระคู่หมั้น
เจ้าชายซีกิสมุนท์แห่งลักเซมเบิร์ก ต่อมา เมื่อพระเจ้าลุดวิกเสด็จสวรรคต เจ้าหญิงแมรี่ก็ถูกสถาปนาขึ้นเป็น "
กษัตริย์แห่งฮังการี" ตามคำเรียกร้องของพระราชมารดาในปี ค.ศ. 1382 เจ้าชายซีกิสมุนท์พยายามยึดโปแลนด์ แต่พวกขุนนางโปแลนด์ตอบโต้โดยบอกว่า พวกตนจะสวามิภักดิ์กับพระราชธิดาของพระเจ้าลุดวิกเท่านั้น หากพระนางจะมาประทับในราชอาณาจักร พระนางเอลิซาเบธแห่งบอสเนีย พระราชมารดา จึงเสนอพระนามพระองค์ให้ขึ้นครองราชบัลลังก์โปแลนด์ แต่จะยังไม่ส่งพระองค์ไปทำพิธีราชาภิเษกที่นครกรากุฟ ซึ่งในระหว่างช่วงผลัดเปลี่ยนรัชกาล
เซียโมวิตที่ 4 ดยุกแห่งมาโซเวีย ก็ถูกเสนอชื่อขึ้นให้ขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยขุนนาง
แคว้นโปแลนด์ใหญ่ซึ่งสนับสนุนเขา เสนอให้เขาอภิเษกสมรสกับพระองค์ แต่ทว่าพวกขุนนาง
แคว้นโปแลนด์น้อย ก็คัดค้านการสถาปนานี้ และโน้มน้าวขอให้พระนางเอลิซาเบธส่งพระองค์มาที่โปแลนด์โดยไวพระองค์ทรงได้รับการราชาภิเษกขึ้นเป็น "กษัตริย์" ในนครกรากุฟ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ 1384 ขณะมีพระชนมมายุ 10-11 พรรษา โดยพิธีครั้งนี้อาจะเป็นการสะท้อนเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางโปแลนด์ที่มีต่อพระราชสวามีในอนาคต วิลเฮล์ม ซึ่งอยากจะเป็นกษัตริย์ร่วมกับพระนางโดยสิทธิ์แห่งการสมรส หรือมันอาจจะเป็นแค่การรับรองสถานะของพระองค์ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถหลังจากที่ได้รับการยินยอมจากพระราชมารดา เหล่าที่ปรึกษาชาวโปแลนด์ของพระองค์ก็เริ่มทำการเจรจากับ
ยอกายลา แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพวก
เพแกน ว่าด้วยเรื่องการอภิเษกสมรสกับพระนางยัดวีกา โดยแกรนด์ดยุกยอกายลาก็ลงนามใน
พระราชบัญญัติสหภาพเครโว ทรงสัญญาว่าจะเข้ารีตเป็นโรมันคาทอลิกและสนับสนุนให้ราษฎร์ของพระองค์เข้ารีตตาม แต่ทว่าวิลเฮล์ม ก็รีบรุดหน้ามาที่กรากุฟ เรียกร้องที่จะพบกับพระองค์ ตามสัญญาหมั่นที่จัดแจงไว้ แต่พวกขุนนางโปแลนด์ก็ทำการขับไล่เขาออกไปในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1385 แกรนด์ดยุกยอกายลา ซึ่งได้รับศีลล้างปาปพร้อมกับพระนามใหม่ว่า ววาดึสวัฟ (Władysław) เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระองค์เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1386 โดยในตำนานพื้นบ้านระบุว่า พระองค์ยินยอมอภิเษกสมรสด้วย หลังจากที่สวดภาวนาอยู่นาน เพื่อรอการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าแกรนด์ดยุกววาดึสวัฟ-ยอกายลา ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งโปแลนด์ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1386 ในฐานะผู้ปกครองร่วมกับพระนางยัดวีกา โดยพระองค์และพระราชสวามีก็ปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยกันอย่างใกล้ชิด และหลังจากที่พวกขุนนางทำการก่อกบฏและทำการจองจำพระราชมารดาและพระเชษฐภคินี พระองค์ก็นำกองทัพบุกเข้าแคว้นรูเธเนีย ที่ในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของฮังการี และโน้มน้าวให้ราษฎร์ในแคว้นนั้นหันมาสวามิภักดิ์กับโปแลนด์แทน ซึ่งก็ทำได้อย่างไม่ยากเย็นพระองค์ยังทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างพระประยูรญาติของพระราชสวามี และไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างโปแลนด์กับอัศวินทิวทอนิก หลังจากที่พระเชษฐภัคนี แมรี่ สวรรคตลงใน ค.ศ. 1395 พระองค์และพระเจ้าววาดึสวัฟ-ยอกายลาก็ทำการอ้างสิทธิ์เหนือฮังการี ที่พระเทวัน (พี่เขย) คือ พระเจ้าซีกิสมุนท์ครองอยู่ แต่เหล่าขุนนางฮังการีไม่สนับสนุนการอ้างสิทธิ์ของพระองค์